วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2551

ทรัพยากรน้ำ

ทรัพยากรน้ำ


คำนำ “น้ำ” ตามความหมายในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หมายถึงสารประกอบซึ่งมีองค์ประกอบเป็นธาตุไฮโดรเจนในอัตราส่วน 1:8 โดยน้ำหนัก เมื่อบริสุทธิ์มีลักษณะเป็นของเหลว ใส ไม่มีกลิ่น รส มีประโยชน์มากเช่น ใช้ดื่ม ชำระล้างสิ่งสกปรก สำหรับในทางวิทยาศาสตร์แล้ว น้ำถือว่าเป็นสารมาตรฐานที่สามารถอยู่ได้ใน 3สถานภาพ คือของแข็ง (น้ำแข็ง) ของเหลว (น้ำ) และก๊าช(ไอน้ำ) ส่วนความหมายของน้ำทางสิ่งแวดล้อมนั้น หมายถึงทรัพยากรธรรมชาติชนิดหนึ่ง ที่มีการเกิดทดแทนหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงได้ตามวัฏจักรและมีความเกี่ยวข้องพันกับทรัพยากรอื่นๆมาก
ในอดีตเรามีทรัพยากรน้ำอย่างเหลือเฟือ การตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนหรือชุมชนขนาดเล็กขนาดใหญ่ไปจนถึงรัฐ ส่วนใหญ่ล้วนแต่ตั้งอยู่ในบริเวณที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์ดังจะเห็นได้จากอารยธรรมของชุมชน ในอดีตที่อยู่ในลุ่มน้ำที่สำคัญของโลก อาทิอารยธรรมอียิปต์ในลุ่มน้ำไนล์ (ราวอายุ 6,000 ปี) อารยธรรมจีนในลุ่มน้ำฮวงโหและแยงซีเกียง (อายุราว 6,000ปี) อารยธรรมอินเดียในลุ่มน้ำสินธุ ( อายุราว 5,000ปี)
ในปัจจุบันชุมชนที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจ สังคมและมีประชากรหนาแน่นไม่ว่าจะเป็นชุนชนลุ่มน้ำเจ้าพระยาในไทย ลุ่มน้ำโขงในเอเชีย ลุ่มน้ำอเมซอนในอเมริกาใต้ ลุ่มน้ำคงคาในอินเดีย ลุ่มน้ำไรน์และในยุโรป ก็ยังอยู่ในลุ่มน้ำที่มีความอุดมสมบูรณ์ แม้ว่าน้ำจะเป็นปัจจัยสำคัญในด้านการเพาะปลูก อุตสาหกรรมและการคมนาคม แต่การใช้น้ำก็เป็นไปอย่างไม่ค่อยเห็นคุณค่า ทุกคนถือว่าน้ำมีไม่รู้จักหมดสิ้นมีให้ใช้ตลอดกาล และเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่ากิจกรรทั้งหลายที่กระทำในอดีตไม่ว่าการระบายน้ำจากแหล่งชุมชน โรงงานอุตสาหกรรม การเกษตร และสถานที่อีกหลายแห่งทำให้เกิดการเน่าเสียของน้ำแหล่งน้ำ จนมีปัญหาว่าแหล่งน้ำหลายแห่งไมสามารถสำน้ำมาใช้ประโยชน์ได้ และแหล่งน้ำนั้นทำหน้าที่รองรับน้ำที่ระบายลงมาจากอาคารบ้านเรือนเท่านั้น หากเป็นดังนี้ทุกสายน้ำและทุกบริเวณจะมีผลอย่างไรกับผู้ใช้น้ำทุกครั้ง ผลพวงของการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างขาดการวางแผน ขาดการควบคุมที่ถูกต้อง การทำลายแหล่งน้ำ การตัดไม้ทำลายป่า ล้วนเป็นสาเหตุที่เกิดวิฤตการณ์ทางน้ำ และเป็นที่คาดหมายถึงว่า หากปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมแล้ว
4.2 วัฎจักรของน้ำ (Water cycle หรือ Hydro;ogic cycle)
น้ำเป็นสารประกบชนนิดหนึ่งเดียวในโลกที่ปรากฏตามธรรมชาติพร้อมกันทั้งสถานะ คือ
ของเหลว ของแข็ง และก๊าช พร้อมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงสถานะได้ตลอดเวลาธรรมชาติช่วยกระจายน้ำให้บริเวณต่างๆ บนแผ่นดินด้วยระบบขนส่งทางไอน้ำในอากาศแล้วกลับคืนหมุนเวียนเป็นวงจรที่เรียกว่า “วัฏจักรของน้ำ หรืออุทกวัฏจักร” อันหมายถึงการสับเปลี่ยนหมุนเวียนสถานะของนั้น
วัฏจักรนี้เริ่มจาก น้ำจากแหล่งน้ำจืด ทะเล และมหาสมุคทร ซึ่งมีเนื้อที่อยู่สามในสี่พื้นโลก การหาใจของพืช น้ำจากขบวนการขับถ่ายของสัตว์จะระเหยกลายเป็นไอน้ำขึ้นไปในบรรยากาศ เนื่องจากได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์ ไอน้ำที่ระเหยขึ้นสู่บรรยากาศนี้ เมือลอยขึ้นไปกระทบกับอากาศเย็นในที่สูงก็จะกลั่นตัวเป็นละอองน้ำเล็กๆ เมื่อละอองน้ำเล็ก มารวมตัวกันเข้าก็จะกลายเป็นเมฆ และถ้าสถาพแวดล้อมเหมาะสมก็จะเกิดการควบแน่นเป็นหยดน้ำขนาดใหญ่จนบรรยากาศรับน้ำหนักไว้ไม่ได้ ก็ตกลงมาเป็นฝน


นโยบายของไต้หวันต่อจีน

5.2 นโยบายของไต้หวันต่อจีน

นโยบายที่ไต้หวันได้กำหนดใช้ในการดำเนินความความสัมพันธ์กับจีนในปัจจุบัน มีหลายประการไต้หวันดำเนินนโยบายหลักต่อจีนอันได้แก่ การพยายามแยกตัวเป็นอิสระจากจีนมาโดยตลอด โดยไต้หวันได้เน้นถึงความต้องการให้จีนยอมรับไต้หวันในฐานะรัฐที่มีความทัดเทียมกับจีนไม่ใช่เป็นเพียงจังหวัดหนึ่งของจีน โดยผู้นำของไต้หวันไต้หวันได้พยายามอ้างถึงสถานะของไต้หวันเป็นรัฐอิสระมาเป็นเวลา 84 ปี ในขณะที่จีนมีอิสระเพียงแค่ 45 ปีเท่านั้น เท่าที่ผ่านมาไต้หวันดำเนินการนโยบายต่างๆ ต่อจีนดังนี้

5.21 นโยบายปฏิบัตินิยม (Pragmatic Diplomacy)

เป็นนโยบายที่ไต้หวันที่ไต้ในการติดต่อสัมพันธ์ประเทศต่างๆด้วยการเดินทางของผู้นำประเทศไปยังประเทศต่างๆ เพื่อเป็นการใช้การทูตผ่านบุคคล อันนำไปสู่ความสัมพันธ์ทวิภาคี ไต้หวันเป็นเป็นแค่รัฐบาทท้องถิ่น เป็นประเด็จที่รณรงค์ไม่ให้ประชาชนไต้หวันยินยอมหรือประนีประนอมต่อจีนในประเด็จดังกล่าวไต้หวันจะใช้เศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและวัฒนธรรมในการแพร่ขยายในความสัมพันธ์กับประเทศภายนอก
การเดินทางเยือนประเทศต่างๆ ของผู้นำไต้หวันปรากฏชัดขึ้นในสมัยของประธานนาธิบดีหลี่เต็งฮุย ได้มีการเดินทางไปเยือนประเทศต่างๆ อาทิ สาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตและจอร์แดนในช่วงต้นเดือนเมษายน ค. ศ. 1995 ละเยือนสหรัฐอเมริการอย่างไม่เป็นทางการในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน การเดินทางของนายกรัฐมนตรีไต้หวันนายเหลียงชาน ไปเยือนออสเตรียฮังการี และสาธารณรัฐเซ้ก ในการเดินทางเยือนประเทศต่างๆ ผู้นำของไต้หวันเหล่านี้ได้นำประเด็นสถานภาพของไต้หวันที่ถูกต้องกดดันจากนโยบายการโดดเดี่ยวไต้หวันจากประชาคมโลก ไต้หวันได้พยายามเรียกร้องและแสดงให้เห็นว่า ไต้หวันประสบความสำเร็จในการมีส่วนร่วมในองค์กรต่างๆอาทิThe Asian Development Bank/ The Pacific asin Economic Coucil/ การเลือกตั้งประธานาธิบดีของไต้หวันในเดือนมีนาคม ค. ศ. 1996 ที่ผ่านมา ผู้นำของไต้หวันได้ให้สัมภาษณ์เมือวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 1996 ต่อนิยมในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของไต้หวัน ซึ่งการเลือกตั้งดังกล่าวถือเป็นการเลือกตั้งโดยตรงที่ถูกต้องตามระบบประชาธิปไตย และประชาชนไต้หวันจำนวน 21 ล้านคนได้แสดงให้เห็นถึงความมีอิสรภาพ ประชาธิปไตย และเกียรติศักดิ์ศรี โดยผู้นำไต้หวันได้ตอกย้ำเกี่ยวกับการเลือกตั้งดังกล่าวว่าเป็นกิจกรรมที่แสดงถึงความเป็นอิสระของไต้หวัน”แม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับการใช้กำลังทหารของจีน ซึ่งการกระทำดังกล่าวของจีนคอมมิวนิสต์ไม่สามารถลบข้อเท็จจริงที่ว่าไต้หวันเป็นอิสระลงได้
การเผชิญหน้าระหว่าไต้หวัดและจีน ทำให้ปัญหาไต้หวันได้รับความสนใจจากทั่วโลกมากยิ่งขึ้น ไต้หวันได้พยายามดำเนินนโยบายปฏิบัตินิยม (Pragatic Policy) โดยเฉพาะการใช้การทูตด้วยความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจของไต้หวันต่อประเทศในโลกที่สาม ในการเพิ่มความสัมพันธ์ กับประเทศต่างเช่น ในวันที่ 4-19 กันยายน ค.ศ. 1997 ประธานาธิบดีไต้หวัน นายหลี่ เต็งฮุย พร้อมกับผู้ติดตามที่เป็นหน่วยงานราชการและกลุ่มนักธุรกิจของไต้หวัน ได้เดินทางไปยังประเทศในอเมริกาไต้ คือ ประเทศเอลชาวาดอร์ ฮอนดูรัส ปานามา กัวเตมาลาและปารากวัย โดยได้รับเชิญจาก 2 งาน คือ The World Conferences on the Panama Canal in Panama City และ Meeting in san Salvador of the system of central amercan integration SICA และได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับประเทศ 7 ประเทศในภูมิภาคนั้น ระหว่าการเดินทางได้มีการพบปะกับผู้นำของประเทศดังกล่าว ตลอดการเดินทางไปยังประเทศต่างๆ
นอกจากนี้ ไต้หวันได้เคลื่อนไหวที่จะนำความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของไต้หวัน เป็นตัวนำการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่างๆนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 เป็นต้นมา มีประเทศได้ติดต่อทางการค้ากับไต้หวันเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ไต้หวันยังให้ความช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจกับประเทศกำลังพัฒนาในโลกที่สาม การดำเนินนโยบายการทูตด้วยเงิน เพื่อจักได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูลอย่างเป็นทางการกับไต้หวัน แต่การดำเนินนโยบายดังกล่าวก็มีผลต่อประเทศกำลังพัฒนาขนาดเล็กในแถบอัฟริกา หรืออเมริการใต้เท่านั้น โดยมีสถานสถาปนาความสัมพันธ์ต่อกันอย่างเป็นทางการ ประธานาธิบดีหลี่เต็งฮุยได้เปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศต่างๆ ได้แก่ Grenada 1988 / Belize 1989 / Liberia 1989 / the Bahamas 1989/ Guinea Bissau 1990/ Lesotho 1990 / Nelize 1989/
จะเห็นว่า ไต้หวันได้พยายามดำเนินนโยบายต่างประเทศในหลายแนวทางด้วยกันอันประกอบการดำเนินนโยบายปฏิบัตินิยม การสมัครเข้าเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ การใช้แนวทางการรวมชาติภายใต้เงื่อนไขของไต้หวัน

5.2.2.1 การพยายามสมัครเข้าเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ

สหประชาชาติ ถือว่าเป็นเวทีการเมืองระหว่างประเทศที่จัดตั้งขึ้น ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงปี ค.ศ.1949 ขณะที่จีนได้เป็นประเทศหนึ่งในห้าของคณะมนตรีความมั่งคงของสหประชาชาติ จีนแก้มีปัญหาการสู้รบระหว่างรัฐบาทคณะชาตินำโดยนายพลเจียงไคเช็คกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ซึ่งในที่สุดพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนได้รับชัยชนะละสถาปนาเป็นประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนแทนสาธารณรัฐจีน เมื่อจีนเปลี่ยนแปลงการปกครองสหรัฐอเมริกาไม่ยอมรับจีนคอมมิวนิสต์ในการเป็นตัวแทนของประเทศจีน จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงการเมืองระหว่างประเทศ สหรัฐรัฐอเมริกาจึงหันกลับมาให้ความสำคัญกับจีนคอมมิวนิสต์ และมีส่วนผลักดันให้รัฐบาทจีนคอมมิวนิสต์ได้รับการรับรอง โดยในการประชุมของสหประชาชาติ ในปีค.ศ. 1971
ภายหลังจากที่ไต้หวันถูกขับออกจากสหประชาชาติ ประเทศต่างๆ จึงต้องปรับความสัมพันธ์กับจีนและตัดความสัมพันธ์กับไต้หวันตามการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองระหงว่างประเทศทำไต้หวันถูกโดดเดี่ยวทางการเมืองระหว่าประเทศ แต่ด้วยความช่วยเหลือของสหรัฐอเมริกาไต้หวันสามารถพัฒนาเศรษฐกิจของตนจนประประสบความสำเร็จและมีความเจริญทางเศรษฐกิจในอันดับต้นๆของโลก
เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1996 ประเทศนิคาราก้า และประเทศอื่นๆที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวันอีก 10 ประเทศ ได้เสนอให้สหประชาชาติพิจารณาเรื่องการรับไต้หวันเข้าเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ อย่างไรก็ตาม สหประชาชาติตอบปฏิเสธข้อเรียกร้องดังกล่าว การเรียกร้องของประเทศต่างๆ ในครั้งนี้ ทำให้ปัญหาสถานะของไต้หวันได้รับความสนใจจากนานาประเทศมากขึ้น ไต้หวันได้ประท้วงการไม่ยอมรับไต้หวันว่าเป็นเพราะจีนซึ่งเป็นหนึ่งในห้าของประเทศสมาชิกของคณะมนตรีความมั่นคงถาวรในสหประชาชาติ ด้วยเหตุนี้ไต้หวันจึงได้หันไปใช้วิธีการทางทูตกับประเทศต่างๆ และยืมยันการประกาศโยบายที่จะขอเข้าเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ ในการนี้กระทวงการต่างประเทศของไต้หวัน ได้นำบทความเกี่ยวกับการประกาศนโยบายดังกล่าวออกเผยแพร่และลงพิมพ์ในนิตยสารเกี่ยวกับต่างประเทศ เช่น The Newyork times/ The Washington post/ Newsweek/Time/ The wall street journal และ ForeignAffairs โดยมีการรณรงค์เกี่ยวกับการเข้าร่วมเป็นสมาชิกของสหประชาชาติคือ “ ประชาชน 21 ล้านคน ที่อาศัยอยู่ในสหธารณรัฐจีนไต้หวัน ไม่มีสิทธิเป็นตัวแทนของ ตนเองในสหประชาชาติตั้งแต่ปี ค.ศ. 1971 และปัจจุบันไต้หวันประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจและได้กลายเป็นประเทศที่มีการค้าใหญ่เป็นอันดับที่ 13 ของโลก และมีการติดต่อการค้ากับนานาชาติไต้หวันได้จัดความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศและกองทุนเพื่อการพัฒนา ในด้านการพัฒนาทางการเมือง ไต้หวันเป็นประเทศที่มีการเลือกตั้งผู้แทนตามระบบประชาธิปไตยอย่างถูกต้อง
ความพยามของไต้หวันในการสมัครเข้าเป็นสมาชิกในองค์กรสหประชาชาติ ทำให้จีนซึ่งติดตามการเคลื่อนไหวดังกล่าวของไต้หวัน และได้ตีความหมายการกระทำกังกล่าวว่าเป็นการพยายามที่จะแยกตัวเป็นอิสระออกจากจีนซึ่งเป็นสิ่งที่จีนยอมรับไม่ได้ และโดยที่จีนถือว่าประเด็นเกี่ยวกับไต้หวันเป็นกิจการภายในของจีน จีนจึงสมารถพิจารณาการใช้กำลังเข้าปราบปรามไต้หวันได้
5.2.3 การรวมชาติภายใต้เงื่อนไขระบบประชาธิปไตย และการยอมรับไต้หวันในฐานะที่เท่าเทียมกัน

ภายหลังการข่มขวัญไต้หวันด้วยการใช้กำลังไม่สำเร็จ เนื่องจากการแทรกแซงของสหรัฐอเมริกาในการป้องกันไต้หวัน ส่งผลให้จีนได้พยายามใช้นโยบายการรวมชาติ โดยสันติวิธี เป็นทางออกของความขัดแย้งด้วยการเสนอแนวคิดหนึ่งประเทศสองระบบต่อไต้หวัน
ในสมัยของประธานาธิบดีเจียงจิงกัว ไต้หวันได้สนองตอบต่อการรวมชาติกับจีนโดยดารยึดหลักการของลัทธิไตรราษฎร์ของด.ซุนยัคเซ็น อันได้แก่ หลักการชาตินิยม ประชาธิปไตย และสวัสดิการสังคม เพื่อเป็นแนวทางในการรมชาติ เพราะความขัดแย้งดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่าไต้หวันมิได้ยอมกระทำตามแนวความคิดรวมชาติของจีน แต่ยึดนโยบาย 3 ไม่อยู่ คือ ไม่ติดต่อการค้าโดยตรง ไม่ติดต่อการขนส่งทางอากาศหรือทางทะเล ในเวลาต่อมา เมื่อไต้หวันมีการเปลี่ยนผู้นำเป็นประธานาธิบดีหลี่เต็งฮุย ไต้หวันก็ยังคงยึดถือหลักการดังกล่าวและได้เน้นการรวมการชาติภายใต้ระบบประชาธิปไตยและเสรีภาพไต้หวันได้ปฏิเสธข้อเสนอของจีนที่จะเปิดการหารือระหว่างกันในระดับพรรคของทั้งสองฝาย ได้แก่พรรคคอมมิวนิสต์ของจีนกับพรรคก๊กมินตั๋งของไต้หวัน โดยผู้นำของไต้หวันได้กล่าวไว้ว่าจะมีการขยายสิ่งดีๆ ไปยังเพื่อนร่วมชาติจีนแผ่นดินใหญ่ แต่ยังคงต้องการให้มีการรวบชาติ แต่ภายในระบอบประชาธิปไตยละเสรีภาพหรือมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นประชาธิปไตยของจีนเสียก่อน
ไต้หวันได้ตอบสนองนโยบายการรวมชาติโดยสันติวิธีของนายเติ้งเลี่ยวผิง ผู้นำจีนซึ่งได้นำการรวมชาติโดยสันติวิธีเสนอต่อไต้หวัน โดยให้ไต้หวันมีฐานะเป็นเขตบริหารพิเศษ อันเป็นแนวทาที่ให้อำนาจการปกครองตนเองได้ระดับหนึ่งเช่นเดียวกับเกาะฮ่องกง หรือเรียกว่าเป็นนโยบาย หนึ่งประเทศ สองระบบด้วยการยื่นเสนอแนวคิด และการตะหนักว่าจีนได้ถูกแบ่งเป็นสองประเทศ รวมทั้งการยอมรับว่าไต้หวันได้รับการยอมรับอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งสถานะของไต้หวันในปัจจุบัน มีระดับของเศรษฐกิจและการเมืองอยู่ในระดับที่ควรจะได้รับการยอมรับ และควรมีการแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างจีนแลชะไต้หวันด้วยการปรึกษาหรือ
ประธานาธิบดีหลี่เต็งฮุย ได้กล่าวถึงแนวทางการรวมชาติที่มีวัตถุประสงค์ ให้อนาคตของชาวจีนรวมชาติและกลายเป็นชาติที่มีอิทธิพลในโลก ดังนั้นไต้หวันจึงนำแนวทางการรวมชาติที่เสนอโดยสภาพกิจการจีนแผ่นดินใหญ่(Guideline for National Unification by Mainland Affaires Council the Executive Yuan Republic of China) ซึ่งมีหลักการ ดังนี้ คือ
ระยะสั้น
1. การสร้างความเข้าใจระหว่างกันให้ดีโดยมีการแลกเปลี่ยนมากขึ้น โดยไม่รุกรานหรือทำอันตรายต่ออีกฝ่ายหนึ่งในเรื่องของความมั่นคง เสถียรภาพ ในการแลกเปลี่ยนที่เป็นจุดกลางและไม่ปฏิเสธการมีบทบาททางการเมืองต่อภายนอกในขณะที่มีภาวะเป็นกลางของทั้ง 2 ฝ่าย
2. มีการกำหนดแนวทางการแลกเปลี่ยนระหว่างกัน โดยการขยายการติดต่อระดับประชาชนต่อประชาชน เพื่อเป็นการต่อเนื่องทางสังคมซึ่งกันและกัน
3. เพื่อเพิ่มการติดต่อของประชาชน ทั้งสองฝ่ายต่างต้องกำหนอการปฏิรูปเศรษฐกิจในแถบที่ต้อแงการมีการติดต่อกัน
4. ทั้งสองฝ่ายต้องการปฏิบัติภายใต้กฎของหนึ่งจีน และแก้ไขปัญหาด้วยสันติ และมีการเคราพซึ่งกันและกัน ไม่ปฏิเสธอีกฝ่ายในการเข้าร่วมในประชาคมโลก ซึ่งจะทำให้เกิดความเข้าใจเชื่อใจและไว้ใจวางใจมากยิ่งขึ้น
ระยะกลาง
1. จัดตั้งช่องทางการสื่อสารอย่างเป็นทางกระทำและอย่างท่าเทียมกัน
2. มีการติดต่อทางไปรษณีย์ ขนส่ง การเชื่อมต่อทางการค้าจะต้องได้รับอนุญาต และให้ความรู้กับทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อลดช่องทาง
3. การทำงานร่วมกัน ของทั้ง 2 ฝ่าย ในบทบาทของเวทีนานาชาติ
4. กรรเดินทางเยือนระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องเกิดขึ้น

ระยะยาว
การจัดตั้งองค์กรในการเป็นที่ปรึกษาเพื่อการรวมชาติ ซึ่งจะจัดตั้งขึ้น 2 ฝ่าย โดยมีจุดมุ่งหมายในด้านประชาธิปไตยมีเศรษฐกิจ แบบเสรี การมีความยุติธรรมในสังคม และการรวมชาติโดยไม่มีการใช้อาวุธเข้าบังคับ และมีการตั้งสถาบันที่จะเป็นประชาธิปไตย

นโยบายการสร้างชัยชนะร่วมกัน (Win Win Policy)

ในการดำเนินนโยบายของไต้หวันเกี่ยวกับการรวมชาติกับจีน ได้มีการนำแนวคิดการสร้างชัยชนะร่วมกัน (win win P0lcy) มาใช้เพื่อกำหนดสถานะของความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับไต้หวัน โดยแนวคิดดังกล่าวได้ถูกเสนอโดยนายนกรัฐมนตรีเหลียงชานของไต้หวัน แนวคิดของ (win win P0lcy) คือการเปลี่ยนสถานการณ์ของความสัมพันธ์ในลักษณะที่ต้องการให้อีกฝ่ายสูญเสียมากที่สุดมาเป็นการร่วมมือกันเพื่อรับชนะร่วมกัน การร่วมมือกันดังกล่าวเริ่มจากการติดต่อในด้านต่างๆได้แก่ด้านโทรคมนาคมและการติดต่อสื่อสาร ด้านเศรษฐกิจและการลงทุน ด้านวัฒนธรรมและศิลป และด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งจะส่งผลและเคราพซึ่งกันและกัน เพราะความขัดแย้งจะสร้างความสูญเสียให้เสียทั้งสองฝ่าย จึงควรมาร่วมกันเพื่อสร้างสถานการณ์ win win

แนวคิดหลักของ win win Policy คือ

1. ไม่ทำลายความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ฝ่าย
2. พยายามเข้าใจสถานะของกันและกัน และไว้วางใจในพฤติกรรมซึ่งกันและกัน เนื่องจากความต่างของความต่างของทั้งสองฝ่าย ในเรื่องระบบการปกครอง การมีส่วนร่วมทางการเมืองของทั้ง 2 ฝ่ายทำให้ต้องพยายามทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน
3. การสร้างความสัมพันธ์ 2 ฝ่ายเป็นลักษณะที่ดีในการสร้างความสัมพันธ์ เช่นสาธารณรัฐจีนได้ยุติภาวะกบฏของจีนคอมมิวนิสต์
4. ความรู้สึกร่วมในความเป็น “จีน”
ปัญหาสำคัญที่ขัดขวางความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับไต้หวัน คือ การขาดความจริงใจในการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน ซึ่งถ้าทั้ง 2 ฝ่ายร่วมมือกันสร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้น ก็จะเป็นการสร้างลักษณะของการชนะด้วย อุปสรรคของการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศได้แก่
1. วิธีการที่จีนได้ใช้สูตร หนึ่งประเทศ สองระบบ โดยไม่คำนึงถึงความคิดของประชาชนในไต้หวัน
2. จีนไม่หยุดการสกัดกั้นไต้หวันในการดำเนินนโยบายทางการทูต และไม่คำนึกถึงความต้องการที่แท้จริงของประชาชนไต้หวัน 21 ล้านคน สำหรับการได้รับการเคราพจากนานนานาชาติและต้องมีที่ว่าสำหรับการนำออกและการพัฒนาประเทศ
3. จีนยังคงมีแนวคิดที่จะใช้กำลังต่อไต้หวัน แต่การออกโฆษณาชวนชวนเชื่อเท่านั้น
4. การติดต่อสัมพันธ์ระหว่างช่องแคบซึ่งมีทั้งเศรษฐกิจ วัฒนธรรม ซึ่งจีนได้ทำทุกวิธีทางที่จะจำกัดการแลกเปลี่ยนด้านข่าวสารข้อมูล
ดังนั้น กุญแจสำคัญของความสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่ คือหนึ่ง ต้องให้ความสำคัญเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและค้า ซึ่งจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศมีการพัฒนาไปได้ดีกว่านี้ สอง ขยายการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและการศึกษา สาม สร้างโครงสร้างในการปรึกษาหารือกัน คือ มีการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนโดยต้องให้มีมากยิ่งขึ้นทั้งในระบบและนอนระบอบ ถ้าการแลกเปลี่ยนเพิ่มมากขึ้นก็จะทำให้โอกาสในการแก้ไขปัญหาความสำคัญแย้งต่างๆ มีเพิ่งเพราะฉะนั้นการด้วย
ประธานาธิบดีหลี่เต็งฮุยได้เสมอแนวทางการรวมชาติ 6 ประการ เพื่อเป็นการตอบสนองต่อนโยบายการรวมชาติของจีนที่มีเจียงเจ๋อหมิน โดยมีหลักการว่า จีนคอมมิวนิสต์และไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนจีน ทั้งสองฝ่ายจะต้องช่วยจะต้องช่วยกันสำนักรวมชาติและและเป็นความรับผิดชอบและเป็นของชาวจีนทุกคนที่ต้องช่วยกันรวมชาติของ และการมีประชาธิปไตยและความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย และการรวมชาติ 6 ข้อ มีรายละเอียดดังนี้คือ
1. การยอมรับและเคราพความจริงที่ว่าไต้หวันและแผ่นดินใหญ่จีนปกครองด้วยหน่อยการเมืองที่มีอธิปไตยสองหน่วยงานมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1949 เท่านั้น จึงสามารถแก้ปัญหาการรวมชาติแบบสันติได้
2. วัฒนธรรมจีนเป็นความภาคภูมิใจของชนชาวจีน ดังนั้นทั้งสองฝั่งควรสนับสนุนความเป็นพี่น้องและส่งเสริการแลกเปลี่ยนระหว่างกัน
3. ทั้งสองฝ่ายควรจะมีส่วนร่วมในองค์การองค์การต่างประเทศไต้หวันจะไม่ปล่อยโอกาสความเป็นไปได้ผู้ทั้งสองฝ่าย จะพบปะเจรจาในสถานการณ์ระหว่างประเทศเช่นการเจรจาในการประชุมของเอเปค
4. แผ่นดินใหญ่ควรแสดงถึงความตั้งใจดี โดยการประกาศยุติการใช้กำลังทหารกับไต้หวัน นี่คือพื้นฐานที่สำคัญที่สำคัญของพระการอ้างเรื่องเข้าแทรกแซงของต่างชาติและการแยกตัวเป็นอิสระของไต้หวันเพื่อนคงการใช้กำลังไต้หวัน เท่ากับเป็นเป็นการเพิกเฉยและละเมิดหลักการและจิตวิญญาณในการสร้างสาธรณรัฐจีน
5. ความร่วมมือกับแผ่นดินใหญ่นั้น เป็นไปลักษณะเพื่อว่ากระตุ้นและประกันประชาธิปไตย และความมั่นคงของฮ่องกงและมาเก๊า
จะเห็นได้ว่าในสาระของข้อเสนอ 6 ประการของไต้หวัน เป็นการแสดงจุดยืนเท่าทีของไต้หวันในการคงไว้ ซึ่งสภาพรัฐที่มีอำนาจประชาธิปไตยและเป็นรัฐอิสระเท่านั้น ถ้าจะมีการร่วมต้องด้วยความเท่าเทียมในฐานะรัฐบาลของชาติทั้ง 2 ฝ่าย แลละเรียกร้องให้จีนยุติเท่าทีทีจะใช้กำลังทางทหารโจมตีไต้หวัน จึงจะมีการรวมชาติได้ เมื่อพิจารณาความในข้อเสนอ 6 ข้อ ของประธานาธิบดีหลี่ยเต็งฮุย จะเห็นถึงปัญหาพื้นฐานในความสัมพันธ์ระหว่างจีนและไต้หวัน คือหลักการที่ไต้หวันยืนยันถึงความเป็นรัฐอิสระของไต้หวันที่จีนไม่สามารถยอมรับได้ เพราะจีนว่าไต้หวันเป็นเป็นส่วนของจีนตลอดมา

5.2.4 ความสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการระหว่างจีนกับไต้หวัน
ในช่างระยะเวลาของการเผชิญหน้าทางการทูต ไต้หวันและจีนได้การติดต่อระหว่างประชาชนสู่ประชาชนซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1987 เมื่อรัฐบาลของสาธารณรัฐจีนในสมัยของประธานาธิบดีดีเจียงจิงกัวได้ประกาศยกเลิกกฎอัยการศึกในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1987 ประกาศยกเลิกข้อห้ามคนไต้หวันในการเดินทางมายังจีนแผ่นดินใหญ่ ทำให้เกิดการติดต่อสัมพันธ์ในระดับบุคคลต่อบุคคลอย่างไม่เป็นทางการ และในวันที่ 30 เมษายน ค.ศ.1991ประธานาธิบดีหลี่เต็งฮุย ได้ยกเลิกสถานการณ์เป็นกบฏของพรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับไต้หวันก็มีความเปราะบางและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หากมีเหตุการณ์ที่เข้ามากระทบต่อความสัมพันธ์ดังเช่น เหตุการณ์ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1994 นักท่องเที่ยวชาวไต้หวันที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวทางทะเลตอนกลางวันของจีน ถูกโจรกรรมและฆาตกรรม ได้สร้างความโกรธแค้นแก่ไต้หวันอย่างรุนแรง ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองประทศหยุดชะงักไปนานเกือบ 1 ปีเต็ม
จากการติดต่อทางการค้าและการลงทุนนี่เอง ฝ่ายรัฐบาลไต้หวันจึงตั้งหน่วยงานเอกชน เพื่อที่ทำหน้าที่แทนรัฐบาลไต้หวันในการเจรจาต่างๆกับจีนคอมมิวนิสต์ โดยได้ตั้ง “สภากิจการแผ่นดินใหญ่” (Mainland Affais Council) ภายใต้สภาบริหาร (Executive Yuan) และ “มูลนิธิแลกเปลี่ยนระหว่างช่องแคบ” (The Straits Exchange foundation :SEF) ซึ่งเป็นองค์กรอกชนทำหน้าที่ในการติดต่อสื่อสารกับจีน โดยให้ถือว่าเป็นเป็นตัวแทนติดต่อของภาคเอกชน โดยมีนาย Koo Chen Fu เป็นผู้นำ ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1991 และในเดือนธันวาคม ค.ศ.1991 สาธารณรัฐประชาชนจีนได้ตั้ง “สมาคมว่าด้วยความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบไต้หวัน” Association for Relations Across the Taiwan Straits : ARATS )ขึ้น เพื่อเป็นหน่วยงานแทนรัฐบาทในการติดต่อกับไต้หวัน โดยมีผู้นำคือนาย Wang Daohan อันเป็นช่องทางในการต่อเนื่องสื่อสาระหว่างประธานาของ SEF และ ARATS ได้พบปะกันทุกๆ 3 เดือน และให้มีการจัดประชุมระหว่างเลขาธิการทั่งไปของทั้งสองฝ่ายเป็นประจำทุก 6 เดือน
นอกจากนี้ ยังมีการติดระหว่างจีนกับไต้หวันในระดับประชาชน หรือ Thee Links อันได้แก่การติดต่อทางไปรษณีย์ การค้า และการบริการทางอากาศและการเดินเรือ ประธามาธิบดีหลี่เต็งฮุยได้กำหนดความสัมพันธ์ทั้ง 3 ทาง ให้เป็นการติต่ออย่างไม่เป็นทางการโดยให้เหตุผลว่าไต้หวันไม่ได้ปฏิเสธการติดต่อ 3 ทางดังกล่าว ถ้าหากความมั่นคงและการพัฒนาของไต้หวัน และปัญหาชายฝั่งของไต้หวันยังไม่ได้รับการรับรองจากจีน ให้การติดต่อ 3 ทางดีขึ้น โดยเฉพาะจีนมีแรงงานและมีที่ดีสำหรับโรงงานในราคาถูก ทำให้ต้นทุนในการผลิตสิ้นค้าต่างๆของไต้หวันมีราคาต่ำกว่าสินค้าจากที่อื่น
5.2.5 การตอบโต้การใช้กำลังขู่ปราบของจีนในวิกฤตการณ์ช่องคบไต้หวัน
ด้วยจีนประกาศท่าที่และบทบาทของจีนเกี่ยวกับนโยบายของไต้หวันดังกล่าวว่า ไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน ดังนั้นเรื่องปัญหาระหว่างจีนกับไต้หวันเป็นปัญหาความขัดแย้ภายในประเทศ ซึ่งประเทศอื่นๆ จะเข้ามาแทรกแซงไม่ได้ จีนอาจตัดสินใจใช้กำลังเข้าปราบปราบไต้หวันได้หากไต้หวันได้มีการประกาศอิสระภาพ อันจะเห็นได้จากวิกฤตการณ์ช่องแคบไต้หวันในปี ค.ศ. 1995-1996 กล่าวคือ
ในระหว่างปี ค.ศ. 1995-1996 ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับไต้หวันได้เผชิญหน้าด้วยการใช้กำลังเข้าข่มขู่ไต้หวัน โดยมีสาเหตุจากความไม่พอใจของจีนต่อบาทของผู้นำของไต้หวันในการพยายามสร้างความสัมพันธ์กับนานาประเทศ ซึ่งจีนได้ตีความบทบาทดังกล่าวว่าเป็นการแสวงหาการยอมรับของไต้หวันในฐานะรัฐชาติอันเท่ากับว่าไต้หวันพยายามที่จะแยกตัวเป็นอิสระจากจีน ได้พัฒนาให้เห็นถึงพลังของประชาชนที่จะเลือกหนทางในการปกครองประเทศด้วยความต้องการของประชาชน อันเป็นการยืนยันถึงเจตนารมณ์ของพรรคก๊กมินตั๋งที่ต้องการอิสรภาพเช่นเดียวกับพรรคอื่นๆ ซึ่งในหลักการของพรรคที่ผ่านมามีนโยบายที่ตอบรับการรวมชาติกับจีนแล้วก็ตาม
จากเหตุการณ์การเยือนสหรัฐอเมริการของประธานาธิบดีหลี่เต็งฮุยดังกล่าว เป็นการจุดชนวนความไม่พอใจของจีนอย่างมาก จีนได้ออกมาประมาณว่า การอนุญาตให้นำไต้หวันเดินทางมาเยือกสหรัฐครั้งนี้ เป็นแผนที่จะสนับสนุนแผนการประกาศเอกราชจีน เป็นการยืนยันถึงแนวคิดพื้นฐานของประชาชนไต้หวันเกี่ยวกับการประกาศอิสระจากจีน
จีนได้เริ่มการซ้อมรบในบริเวณทะเลชายฝั่งเขตแดนของไต้หวันในระหว่างวันที่ 21 -26 กรกฏาคม ค.ศ. 1995 ด้วยการทดลองยิงขีปนาวุธ 6 ลูก ในบริเวณชายฝั่งทะเลทางตอนเหนือของไต้หวันห่างจากไต้หวันเพียง 140 กิโลเมตร ก่อให้เกิดกระแสความความตื่นกลัวของประชาชนบนเกาะไต้หวัน และในระหว่างวันที่ ส่งผลให้หุ้นในตลาดหุ้นไต้หวันตกติดต่อกัน นอกจากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของไต้หวัน นาย Fredrick Chien ได้กล่าวในวันที่ 29 ธันวาคมค.ศ. 1995 ในการแถลงข้างลิ้นปี ค.ศ.1995 กล่าวเกี่ยวความสัมพันธ์ทั้งเป็นการและไม่ทางการของไต้หวันกับนานาประเทศว่าความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีกับประเทศต่างๆ ที่มีการสถาปนาทางการการทูตไต้หวันประมาณ 30 กว่าประเทศ โดยส่วน มากจะเป็นประเทศในแถบลาตินอเมริกาและได้กล่าวย้ำถึงความมั่นคงของความสัมพันธ์ดังกล่าวรวมทั้งในประเทศแถบอัฟริกาไต้ สำหรับความสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่ นาย Fredick Chien ได้กล่าวว่า นับตั้งแต่ที่ได้ใช้ความพยายามเสนอการขอเข้าร่วมในสหประชาชาติเป็นเวลากว่า 3 ปีมาแล้ว จีนไม่ยอมรับว่าไต้หวันเป็นศูนย์กลางและเป็นส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นการเพิกเฉยต่อความจริง
นับตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1991 ประธานาธิบดีหลี่เต็งฮุยได้ประกาศยุติภาวะกบฏของจีนคอมมิวนิสต์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นเป็นการพยายามเริ่มการปรับความสัมพันธ์ และไต้หวันได้ยอมรับว่าจีนเป็นหน่วยการเมือง และไต้หวันได้พยายามทำงานร่วมกันในสังคมของนานาชาติ แต่ทว่าจีนไม่ทราบถึงสถานะของไต้หวัน 3 ประการ คือ ประการแรก ไต้หวันไม่ได้เปลี่ยนแปลงกำไรจากจีนประการที่สอง ไต้หวันไม่ได้เรียกร้องต่อสหประชาชาติ และประการที่สาม การที่ไต้หวันจะเข้าร่วมในสหประชาชาติจะช่วยให้นำมาสู่การรวมชาติของจีน ตลอดระยะเวลา 46 ปี ไต้หวันไม่เคยลืมประเด็นที่ว่า จีนต้องรวมชาติ แต่ไต้หวันต้องการเห็นลักษณะหนึ่งจีน หนึ่งไต้หวันหรือ 2 จีน โดยไต้หวันเป็นอิสระ กระทรวงต่างประเทศของไต้หวันกล่าวว่าจะมีการพยายามให้เกิดการพิจารณานโยบายเกี่ยวกับจีนของไต้หวันใหม่ ซึ่งต้องมีการจัดลำดับความสำคัญให้กับนโยบายต่างประเทศไต้หวัน
ในระยะของต้นปี ค.ศ. 1996 ก่อนจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีของไต้หวัน ในวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1996 ทางการจีนได้ประกาศระยะเวลาในการซ้อมรบบริเวณทะเลใกล้บ้านไต้หวัน ในระหว่างวันที่ 8-15 มีนาคม ค.ศ.1996 และในการดำเนินการซ้อมรบครั้งนี้ ได้มีการใช้กระสุนจริงสภากิจจีนแผ่นดินใหญ่ของไต้หวันได้ออกแถลงการณ์ประณามว่า การกระทำของจีนครั้งนี้เป็นการยั่วยุให้เกิดความแตกแยก และคุกคามความมั่นคงของของไต้หวันทั้งยังทำให้แผนการรวมชาติระหว่างจีนและไต้หวันห่างไปออกไป ขณะเดียวกันรัฐบาลของจีน ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ในทันทีเช่นกันว่า ประชาชนชาวไต้หวันไม่ควรจะมาตื่นกลัวกับการทดลองยิงขีปนาวุธและซ้อมรบจากจีน แต่ควรจะเกรงกลัวหายนะอันแท้จริงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ไต้หวันได้มีแนวนโยบายที่จะตอบโต้การข่มขู่ของจีนด้วยการเตรียมพร้อมทหาร เพื่อป้องกันหากจีนใช้กำลังเข้าปราบปราบไต้หวัน ในการนี้ไต้หวันนำประเด็นการซ้อมรับของจีนออกเผยแพร่ไปยังประเทศต่างๆ อันทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างจีนกับไต้หวันได้รับความสนใจจากประทศต่างๆ อย่างมาก ไต้หวันไดมีการเตรียมความพร้อมของกำลังทหาร ซึ่งกองทัพของไต้หวันมีการพัฒนาให้มีความทันสมัย และมีอาวุธที่มีความทันสมัยมากกว่าจีน และมีความสามารถที่จะตอบรับต่อการบุกรุกของจีนได้ แต่ด้วยความเป็นปัจจัยทางด้านกำลังและขนาดของกองทัพจีนและความสามารถในการทหารของจีนย่อมจะสร้างความเสียหายให้กับไต้หวันแน่นอนไม่มากก็น้อย
สื่อมวลชนไต้หวันได้เขียนถึงประเด็นการใช้กำลังคุกคามไต้หวัน การกระทำของจีนแผ่นดินใหญ่เป็นการพยายามเตือนไต้หวันให้หยุดทำในหยุดทำในสิ่งที่จีนเห็นว่าเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อประกาศอิสรภาพ อันได้แก่ การที่ไต้หวันเสนอเข้าเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ การพัฒนาประชาธิปไตยของไต้หวันรวมทั้งการเลือกตั้งผ่านมา และการแสดงออกของประธานาธิบดีหลี่เต็งฮุย ทั้งที่การเลือกตั้งดังกล่าวเป็นการเลือกตั้งที่ยุติธรรมและถูกต้องเปิดเผยตามระบอบการปกครองประชาธิปไตย ดังนั้น จึงประเวลาที่จีนต้องได้รับการปลุกให้พื้นจากโลก และทำความเข้าใจเกี่ยวกับการสร้างบทบาทความก้าวร้าวในทะเลจีนใต้ของจีน เนื่องจากประเด็นของการเป็นรัฐอิสระของไต้หวันในปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างช่องแคบไต้หวัน และการหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในทะเลจีนไต้ รวมทั้งประเด็นการพัฒนาประเทศของจีน เป็นเรื่องของระบบความมั่นคงในศตวรรษใหม่
ดังนั้น นโยบายหลักของไต้หวันต่อจีน คือ การแยกตัวเป็นอิสระ การดำเนินนโยบายที่ผ่านมา เช่น นโยบายปฏิบัตินิยม (Pragmatic Diplomacy) การสมัครเข้าเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ และการพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองกับองค์กรระหว่างประทศต่างๆ ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากปัจจัยภายในประเทศ ประกอบด้วยการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองส่งผลให้กระแสการเรียกร้องอิสระจากจีนยังคงมีอยู่และกำลังเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ แต่ความหวาดเกรงต่อการใช้กำลังของจีนกดดันให้ไต้หวันไม่ได้ประกาศนโยบายดังกล่าวอย่างจริงจัง ผู้นำไต้หวันเองได้คาดการณ์ไว้ว่าถ้าจีนใช้กำลังต่อไต้หวัน จีนจะต้องพบกับการกลับมาของสงครามเย็นในเอเชียตะวันออกการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของประเทศตะวันตกระยะยาว อันสร้างความเสียหายต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจของจีน รวมทั้งการติดอาวุธของญี่ปุ่น การสูญเสียค่าใช้จ่ายในด้านการทหารที่สูงทากขึ้นของจีน และความเสี่ยงทางกาเมืองของจีนปัจจุบัน ทำให้จีนจะไม่สามารถโจมตีไต้หวัน
ความสัมพันธ์ส่วนใหญ่ของจีนกับไต้หวัน จึงอยู่ที่ประเด็นของการเสนอแนวทางการรวมชาติของจีนต่อไต้หวัน ด้วยนโยบายหนึ่งประเทศสองระบบ ไต้หวันได้ปฏิเสธและได้เสนอเงื่อนไขที่จีนไม่สามารถยอมรับได้ เช่น สถานะของรัฐที่เท่าเทียมกันในการรวมชาติ กระแสดงความคิดของประชาชนที่เกิดจากการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยภายในประเทศไต้หวันทำให้การเรียกร้องอิสระจากจีนเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ผู้นำทางการเมืองภายในประเทศได้ปรับเปลี่ยนนโยบายของประทศ เพื่อสอดคล้องกับความต้องการของประชาชน โดยมีแนวโน้มที่จะประกาศการเป็นอิสรภาพของไต้หวันจากจีน และความต้องการให้นานาประเทศในโลกยอมรับไต้หวันในฐานะรัฐชาติหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในความตึงเครียดของความสัมพันธ์ระหว่างจีนและไต้หวัน ความสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการในการติดต่อระหว่างบุคคลต่อบุคคลของทั้งสองประเทศได้ก่อตัวขึ้น การค้าลงทุนที่นักธุรกิจไต้หวันเข้ามาลงทุนติดต่อในจีนจำนวนมาก และการติดต่อระหว่างประชาชนในด้านอื่นๆ เช่น วัฒนธรรม สังคม หรือความสัมพันธ์ฉันญาติที่พลัดพรากจากสงครามกลางเมืองได้และเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสองฝ่ายมากขึ้น
นโยบายของไต้หวันต่อจีน จึงเป็นมิติความสัมพันธ์ในด้านต่างๆที่มีทั้งการเป็นศัตรูทางการเมือง และความสัมพันธ์ที่ดีทางด้านเศรษฐกิจ และความสัมพันธ์อื่นๆ ในรูปแบบของการติดต่ออย่างไรเป็นทางการ ด้วยปัจจัยของพัฒนาประเทศไต้หวันให้เจริญรุดหน้า ความก้าวหน้าของระบบประชาธิปไตยไต้หวัน จึงส่งผลให้ไต้หวัดยังคงยึดมั่นความพยายามแยกตัวเป็นอิสระจากจีนต่อไปทั้งนี้ด้วยวิธีการต่างๆ เช่นการใช้นโยบายการทูตด้วยการเงิน เพื่อแสวงหาการยอมรับจากประเทศต่างๆ ด้วยการแลกเปลี่ยนความช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจเป็นข้อแลกเปลี่ยนและใช้เป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับนโยบายการรวมชาติของจีน

จ็จ

ชื่อสามัญ Paracetamol/Acetaminophen

ชื่อสามัญ Paracetamol/Acetaminophen

ชื่อการค้า Acta-P,*Acetacol,*Acetapyrin-c,Acetasil,*Alaxan Pl,Algogen,*Amcopan Plus.A-Mol Plus.*Anhista,*Apracur, Biogesic,*Brustan.*Buscopan Plus, Calpol/Capol 6-12/Calpol Ped,*Cariso-co,*CarisomaCompound,*Caritasone,*Cecold,Cemol,*Cemol Cold,*Cenasic,*Cencold,*Cenpadol,*Cetan,*Cezox,*Chlorhistan,*codicet,*Codiges,*Colatus,*Coldosian,*Coolby Cough,*Corilax,*Cotenok,Daga,*Decokgen/Decolgen DE/Decolgen Plus/ Decolgenrin,*Decono,Deenamol,Depyret, *Detamol,*Dorpane,*FECOL.Fnn,*Hiscolgen/Hiscolgenf,*lcolid,Plus,*KibtalB/KibtalBF,Kit-FDrops,Kit-SyupLotemp,*MasaparaW/Codeine,*MCXY/MCXY Plus,*Medesic,*Medlax,*Milagin,*Muscekax,*MuscokMYcol Myodrine,*Myoflex,*Myora,*Myoser,Neosc,*Neozep, LX,*Norgesic,*Norgic,*Norphen,*Novapam,*Nuosic,*Nurasic,*Nuta,*Nutacold,*Orano,*Orflex,*Ornadine,*orpar,*Orphengesic,*Pacopan,Panadol,Paracap,Paracet,para Gdek,*parakon Forte,Para-G,Paragin , paramopl , * Paramol TP , * Paranal – L , Parat, Paratol , * Parcono , * Prospa , * Parina , Partamol , * Pedia –Col , Pemol , *Poli – Relaxane , * Polydol , *Pormus , *Pyracon , *Pyrecl , Pyretal , Ramol , * Relar , *Rena , * Rumatifen –Plus , Sara , Saridon , * Skelan , * Spasone , Temolan , Tempra /Tempra Forte , * Tiffy Fu , Tiffy / tiffy Dey Tumdi , Tylenol Tylenol Arthritis Pain , * Tylenol With Codeine , Tymol , *Ultracet , * Umeda Para- J , Unicap , * Unigan , Unimol Uracet , Vemol , Xebramol





ประเภทของยา

ยาบรรเทาอาการปวด ลดไข้

สรรพคุณ

บรรเทาอาการปวดและลดไข้ในกรณีที่ไข่สามารถหรือไม่ต้องการใช้ยาแอสไพริน หรือยาลดอาการอักเสบที่ไม่ใช้สเตอรอยด์ (NSAID) อาจให้ยาพาราเซตามอลแก่เด็กที่ได้รับวัคซีนดีพีที เพื่อลดอาการไข้และอาการปวดซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อได้รับวัคซีนนี้
ข้อมูลทั่วไป
พาราเซตามอลเป็นชื่อที่เรียกขานกันในเมืองไทย ที่สหรัฐอเมริกานิยมเรียกอะเซทามิโนเฟน มักใช้บรรเทาอาการปวดและลดไข้เนื่องจากโรคไข้หวัดธรรมดาไข้หวัดใหญ่ โรคติดเชื้อไวรัส หรือจากเหตุอื่นซึ่งทำให้เกิดอาการปวดและอาการไข้
ใช้บรรเทาปวดสำหรับผู้ที่แพ้แอสไพริน หรือผู้ที่ไม่สามารถใช้ยาแอสไพรินได้ เพราะแอสไพรินมีปฏิกิริยากับยาอื่น เป็นต้นว่ายาลดความเหนือของเลือดชนิดรับประทาน นอกจากนี้ พาราเซตามอลยังใช้บรรเทาอาการอื่นหลายประการ เช่น ข้ออักเสบ ปวดจากนี้ พาราเซตามอลยังใช้บรรเทาอาการอื่นอีกหลายประการ เช่น ข้ออักเสบ ปวดศีรษะ ปวดฟันและปวดรำมะนาด แต่ยาพาราเซตามอลไม่ลดอาการอักเสบ

ข้อควรระวังและคำเตือน

ห้ามกินยาพาราเซตามอลถ้าแพ้หรือไวต่อยานี้ ห้ามกินยาพาราเซตามอลติดต่อกันเกิน10 วัน นอกจากผู้ขายยาสั่ง ห้ามกินยาเกินสั่งเหนือที่แนะนำในภาชนะบรรจุ
ต้องใช้ยานี้ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งยวด ถ้าเป็นโรคไต โรคตับหรือโรคติดเชื้อไวรัสที่ตับ แอลกอฮอล์ปริมาณสูงเสริมพิษต่อตับของพาราเซตามอลขนาดสูงหรือเกินขนาด ต้องหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ถ้าต้องกินยาพาราเซตามอลอยู่เป็นประจำ เพราะว่าบางคนไวต่อปฏิกิริยานี้มากกว่าคนอื่น



พิษภัยที่อาจเกิดจากยา
ยานี้กล่าวได้ว่าเป็นยาที่ไม่มีพิษเมื่อใช้ตามขนาดที่แนะนำ ด้วยเหตุนี้พาราเซตามอลจึงเป็นยายอดนิยอม โดยฉพาะผู้ที่ใช้ยาแอสไพรินไม่ได้
พบได้น้อยมาก : เมื่อให้ยาขนาดสูงหรือเป็นระยะยาว อาจมีการทำลายตับ ผื่นขึ้น คัน ไข้ขึ้น น้ำตาลในเลือดสูง เกิดอาการเบิกบานผิวหนังหรทอตาขาวเป็นสีเหลือง และ/หรือส่วนประกอบของเลือดเปลี่ยนแปลง

ปฏิกิริยากับยาอื่น
● ฤทธิ์ของยาพาราเซตามอลอาจลดลงเมื่อได้รัยยาพวกกดบาร์บิทูเรต คาร์แบมาเวพีน เฟนิโทอิน หรือยาประเภทเดียวกัน ไรแฟมพิซิน และซัลฟินพัยราโซนเป็นระยะยาวหรือในขนาดสูง นอกจากนี้ ยาเหล่านี้ยังอาจเสริมพิษต่อตับอีกด้วยถ้าผู้ใช้ยาร่วมกัน
● เครื่องดื่มที่แอลกฮอล์เพิ่มโอกาสที่จะเกิดพิษต่อตับ และอาจทำให้ตับวายได้ถ้ากินร่วมกับยาพาราเซตามอล

ปฏิกิริยากับอาหาร
ยังไม่ทราบ

ขนาดยาที่ใช้
ผู้ใหญ่และเด็ก (อายุ 12 ปีขึ้นไป) : 300-600 มิลลิกรัม วันละ 4-6 ครั้ง หรือ 1,000 มิลลิกรัม วันละ 3-4 ครั้ง ไม่ควรกินยาเกิน 2.6 กรัม (8 เม็ด ขนาด 325 มิลิกรัม หรือ 5 เม็ด ขนาด 500 มิลลิกรัม) ต่อวันเป็นระยะเวลายาวนาน
เด็ก (อายุ 11 ขวบ) : 480 มิลลิกรัม วันละ 4 – 5 ครั้ง
เด็ก (อายุ 9-10 ขวบ) : 400 มิลลิกรัม วันละ 4 – 5 ครั้ง
เด็ก (อายุ 6-8 ขวบ) : 380 มิลลิกรัม วันละ 4 – 5 ครั้ง
เด็ก (อายุ 4-5 ขวบ) : 240 มิลลิกรัม วันละ 4 – 5 ครั้ง
เด็ก (อายุ 3 ขวบ) : 160 มิลลิกรัม วันละ 4 – 5 ครั้ง
เด็ก (อายุ 1-2 ขวบ) : 120 มิลลิกรัม วันละ 4 – 5 ครั้ง
เด็ก (อายุ 4-11 เดือน) : 80 มิลลิกรัม วันละ 4 – 5 ครั้ง
เด็ก (อายุ 4 เดือน) : 40 มิลลิกรัม วันละ 4 – 5 ครั้ง

การใช้ยาเกินขนาด

อาการเมื่อกินยาพาราเซตามอลเกินขนาดคือ คลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อแตก เบื่ออาหาร ง่วนนอน สับสน ท้องนุ่ม ความดันโลหิตตก จังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติผิวหนังหรือตาขาวเป็นสีเหลือง ตับวาย และไตวาย
การทำลายตับของยาพาราเซตามอลเกินขึ้นได้เทมือกินยาครั้งเดียว 12 เม็ดอย่างแรง ( 50 มิลลิกรัม) หรือ 18 เม็ดขนาดปกติ (325 มิลลิกรัม) แต่ส่วนมากการทำลายตับมักเกิดขึ้นเมื่อกินยามากกว่านั้นคือ 20 เม็ดอย่างแรง หรือ 30 เม็ดอย่างธรรมดา การใช้ยาปริมาณสูงเป็นเวลานาน ขนาด 3,000 -4,000 มิลลิกรัม ต่อวัน เป็นปี ก็สามารถทำลายตับได้ โดยเฉพาะอย่างอย่างยิ่งเมื่อมีแอลกฮอล์เข้าร่วมด้วย
ถ้ากินยาเกินขนาดต้องทำให้ผู้เคราะห์ร้ายอาเจียนโดยเร็วที่สุดด้วยไซรัป-อิพิแคก หรือด้วยวิธีอื่นที่ศูนย์ควบคุมพิษแนะนำ จากนั้นพาผู้เคราะห์ร้ายไปห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลเพื่อประเมินผล อย่าลืม นำยาหรือขวดยาไปด้วย
ข้อมูลพิเศษ
ถ้าไม่ได้ใช้ยาอย่างผิดๆพาราเซตามอลเป็นยาที่มีประโยชน์ มีประสิทธิภาพและเกือบกล่าวได้ว่าเป็นยาที่ไม่มีพิษถ้าปฏิบัติตามคำสั่งในฉลาก ถ้าผู้ใหญ่ใช้ยาพาราเซตามอล 10 วัน หรือเด็ก 5 วัน แล้วยังไม่ได้ผล ต้องปรึกษากับผู้ขายยาใหม่
เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลทำให้การทำลายตับซึ่งอาจเกิดจากพาราเซตามอลรุนแรงขึ้นได้ ผู้ที่ต้องกินยานี้เป็นประจำต้องจำกัดการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
ถ้าลืมกินยาพาราเซตามอล 1 มื้อ กินยาทันทีที่นึกได้ ถ้านึกได้ก่อนเวลากินยาครั้งต่อไปภายใน 1 ชั่วโมง งดยามื้อที่ลืม และกินยามื้อต่อไปตามกำหนดเดิม ห้ามกินยาเป็น 2 เท่าของขนาดปกติ

บุคลพิเศษ
หญิงมีครรภ์/หญิงให้นมลูก
พาราเซตามอลจัดว่ายาที่ปลอดภัยสำหรับหญิงมีครรภ์เมื่อให้ยาในขนาดปกติ การกินยาในปริมาณสูงเป็นเวลายาวนานติดต่อกัน อาจทำให้ทารกพิการหรือขัดขวางการเจริญเติบโตของทารกได้ มีทารก 3 ราย ที่เกิดมาสะโพกโย้เชื่อว่าเกิดขึ้นเนื่องจากยาพาราเซตามอล ควรปรึกษาผู้ขายยาก่อนกินยานี้ถ้ากำลังตั้งครรภ์หรืออาจมรครรภ์
พาราเซตามอลจำนวนเล็กน้อยอาจออกมาน้ำนม แต่ยานี้ถือได้ว่าไม่มีอันตรายต่อทารก

ผู้สูงอายุ
ผู้สูงอายุกินยาพาราเซตามอลได้ตามคำสั่งของผู้ขายยา

วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2551

Abacavir ( ABC,GW 1592U89 ) ( ziagen ของ Glaxo Welcome )

Abacavir ( ABC,GW 1592U89 ) ( ziagen ของ Glaxo Welcome )
ยา Abacavir เป็น guanosine analogue ที่ได้รับการรับรองจาก FDA ในเดือนกันยายนพ.ศ. 2541 ( คศ. 1998 ) ให้ใช้ร่วมกับยาต้านเรโทรไวรัสอื่นสำหรับรักษาการติดเชื้อ HIV ในผู้ใหญ่และเด็กอายุตั้งแต่ 3 เดือนเข้าไป ยาออกฤทธิ์ได้โดยถูกเปลี่ยนเป็น triphoshate ในเซลล์ด้วนเอนไซม์ที่ไม่ได้ phosphprylate ยา nenuckeoside RTS ตัวอื่น ในหลอดทดลองยาเสริมฤทธิ์ กับ zidovudine lamivudine , amprenavir mevirapine และเพิ่มฤทธิ์ ยา didanosine , lamivudine stavudine , zalcitabine จึงได้มีการผลิต Trizivir ซึ่งเป็นยาผสมของ abacavir + zidovudine + lamivudine
ยาเตรียม abacavir มีรูป ยาน้ำสำหับเด็ก 20 มก/ มล. และยาเม็ด 300 มก. ส่วนยา Trizivir ประกอบด้วยยา abacavir 300 มก. Zidovudine 300 มก. Lamivudine 150 มก .
ขนาดยา
ทารกแรกเกิด ไม่แนะนำให้ใช้กับทารกอายุต่ำกว่า 3 เดือน แต่ขะนี้มีการศึกษาขนาด 8 มก. / กก. วันละ 2 ครั้ง ในทารกอายุ 1-3 เดือน
เด็ก ใช้ในขนาดยา 8 มก./กก. วันละ 2 ครั้ง
วัยรุ่น ใช้ในขนาดมื้อละ 8 มก. /กกสูงสุดมื้อละ300 มก. วันละ 2 ครั้ง
ผู้ใหญ่ ใช้ในขนาดมื้อละ 300 มก. วันละ 2 ครั้ง ถ้าใช้ Trizivir มื้อละ 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง


เภสัชจลนศาสตร์
ยาถูกดูดซึมดีจากทางเดินอาหารมีค่า bioavailability - 83 % ค่าครึ่งชีวิตในซีรั่ม 1.5 ชั่วโมงค่าครึ่งชีวิตภายในเซลล์ - 3.3 ชั่วโมง ผ่านเข้สู่น้ำไขสันหลังได้ ระดับยาในน้ำไขสันหลังประมาณ 18-25 % ของระดับยาในพลาสมา ยาถูกกำจัดส่วนใหญ่ ( 81 % ) โดยถูกเปลี่ยนแปลงโดยเอนไซม์ alcohol dehydrogenase และ glucuronyl transferase ไม่ใช้เอนไซม์ระบบ cytochrome P 450 และยาไม่ยับยั้ง CYP3A4 CYP2D6, CYP2C ยาถูกกำจัดทางปัสสาวะในรูป metaboites 81 % และรูปที่ไม่เปลี่ยนแปลง1 % และส่วนน้อย16 % ถูกจำกัดทางอุจจาระ ผู้ป้วยโรคไตไม่ต้องเปลี่ยนขนาดยา


พิษสำคัญของยา
ผลข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่ ปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ท้องเสีย มีไข้ อ่อนเพลีย ออกผื่น
ผลข้างเคียงที่พบไม่บ่อยแต่รุนแรง ได้แก่ เกิดภูมิไวเกิดหรือแพ้ยา5 % พบทั้งในผู้ใหญ่และเด็กและอาจรุนแรงถึงเสียชีวิต เกิดใน6 สัปดาห์หลังใช้ยา อาการประกอด้วยไข้สูง ( 30 – 40 องศาเซลเซียส ) อ่อนเพลีย ไม่แรง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย หายใจตื่น หอบ ไ ออกผื่น ตรวจร่างกายพบต่อมน้ำเหลืองโต แผลที่เยื่อ mucus ผื่น maculopapular หรือผื่นลมพิษ คัน ที่ผิวหนัง ( แต่บางคนอาจไม่มีผื่น ) ตรวจทางห้องปฏิบัติการพบเอนไซม์ตับ creatine phosphoinase และ creatinine สูงขึ้น เม็ดน้ำเหลืองต่ำ ถ้าสงสัยว่าผู้ป่วยแพ้ยาควรหยุดยาทันที และห้ามทดลองใช้ยาใหม่ เนื่องจากอาจถึงกับเสียชีวิต และเช่นเดียวกับ ยา mucleoside RTS อื่น มีรายงาน latic acidosis ตับโตและ steatosis syndrome เกิดขึ้นกับ abacavir เช่นเดียวกัน แม้จะน้อยก็ตาม แต่ก็อาจะเป็นอันตรายถึงชีวิต
ผลข้างเคียงที่พบไม่บ่อยอื่นๆ ได้แก่ ตับอ่อนอักเสบ ท้องเสีย เอนไซม์ตับสูงขึ้น ระดับกลูโคส และ หรือ ไตรกลีเซอรรด์สูงขึ้น

ปฏิกิริยาต่อกันระหว่างย
ยาไม่ถูก metabolise และไม่ยับยั้งเอ็นไซม์ cytochrome ญ450 จึงไม่ควรมีผลต่อยา PIS และ non - mucleoside RTS หรือยาอื่นที่ถูก metabolized โดยเอนไซม์นี้
ไม่มีปฏิกิริยาต่อกันอย่างมีนัยสำคัญต่อยา zidovudine และ lamivudine
อัลกอออล์ลดการกำจัด abacavir จึงทำให้ระดับยาเพิ่มขึ้นประมาณ 41 %

คำแนะนำพิเศษ
สามารถรับประทานร่วมกับอาหารได้
ผู้ป่วยและบิดามารดาต้องระมัดระวังการเกิดการแพ้หรือภาวะภูมิไวเกินจากยา


ข. Non- mucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors
ยากลุ่มนี้เป็นยาสังเคราะห์ยับยั้งเอนไซม์ DNA polymerase แบบ noncmpetive binding ทำให้เกิดการแตกของ catalytic site ของเอนไซม์ reverse transcriptase เกิดการเปลี่ยนแปลง ของเอนไซม์ และเกิดการยับยั้งเอนไซม์ขึ้น ยาในกลุ่มมีกลไกการออกฤทธิ์ ผลข้างเคียงหรือพิษการสันดาปและการดื้อยาคล้ายกัน และไม่ต้องถูก phosphorylation ภายในเซลล์ก่อนจึงออกฤทธิ์ได้ ยาถูก metabolized โดย CYP450 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง CYP 3A4 ออกฤทธิ์แรงต่อเชื้อไวรัส HIV -1 โดยลดระดับไวรัสได้เร็วแต่เชื้อก็ดื้อยาเร็วโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าใช้ยาตัวเดียวตามลำพังหรือใช้ร่วมกับยาอื่นที่มีผลยับยั้งไวรัสไม่พอเพียง ยาเสริมฤทธิ์กับยา nucleoside RTIs และ PIS ต่อเชื้อ HIV – 1 แต่มีข้อจำกัดที่เมื่อเกิดเชื้อดื้อยาขึ้นต่อยา nonnucleoside RTIs ตัวใดตัวหนึ่งในกลุ่มมักดื้อข้ามไปยังยาตัวอื่นในกลุ่มด้วย ยาอาจยับยั้งหรือชักนำเอนไซม์ที่ตับทำให้มีผลต่อยาเองและ / หรือยาตัวอื่นที่ถูกสันดาป โดยเอนไซม์นี้ ถ้ามีผลสัยดาปตัวเองอาจต้องเพิ่มขนาดยาต่อวันขึ้นเท่าตัวในสัปดาห์ที่สอง

Nevirapine ( NVP ) ( VIRAMUNE ของ Roxane Lab Inc และจัดจำหน่ายโดย Boehringer Ingelheim)

ยา nevirapine เป็นอนุพันธื dipyridodiazepinone ได้รับการรับรองโดย FDA ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2539 ( ค.ศ. 1996 ) ให้ใช้รักษาการติดเชื้อ HIV ในผู้ใหญ่และเด็กอายุมากกว่า 2 เดือน ร่วมกับยาต้านเรโทรไวรัสอื่น ยาไม่ยับยั้ง cellular DNAa polymerases ของคน
ยาเตรียมมีร๔ป ยาน้ำแขวนตะกอน 50 มก/ 5 มล และ ยาเม็ด 200 มก.


ขนาดยา
ทารกแรกคลอด ถึงอายุ 2 เดือน ใช้ในขนาด5 มก. /กก. หรือ 120 มก / ตร. เมตร วันละ 1 ครั้ง เป็นเวลา 14 วัน ตามด้วยขนาด 120 มก / ตร. ทุก 12 ชั่วโมง เป็นเวลา 14 วัน หลังจากนั้นใช้ขนาด 200 มก. / ตร. เมตร ทุก 12 ชั่วโมง ( pediatrics AIDS Climical Trial Grop\up protocol 365 )

เด็ก ใช้ในขนาด 120 -200 มก/ ตร.เมตร ทุก 12 ชั่วโมง ( ควรเริ่มด้วยขนาด 120 มก./ ตร. เมตร สูงสุด 200 มก วันละ 1 ครั้ง เป้นเวลา 14 วันก่อน ถ้าไมมีผื่นหรือผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์อื่น เพิ่มขนาดขึ้นเป็นขนาดเต็มหรือ 120 – 200 มก. / ตร. เมตร สูงสุด 200 มก ทุก 12 ชั่วโมง ) หรือถ้าคิดตามน้ำหนัก เด็กอายุ 8 ปี ใช้ขนาด 7 มก / กก. ทุก 12 ชั่วโมง เด็กอายุ ฬ 8 ปี ใช้ขนาด 8 มก. /กก. ทุก 12 ชั่วโมง
วัยรุ่นและผู้ใหญ่ ใช้ในขนาด 200 มก. วันละ 1 ครั้ง ครั้ง 14 วัน แล้วค่อยเพิ่มเป็น มื้อละ 200 มก. ทุก 12 ชั่วโมง หรือวันละ 2 ครั้ง ถ้าไม่ผื่นหรือผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์อื่นๆ


เภสัชจลนศาสตร์
ยามีคุณสมบัติละลายได้ดีมากในไขมัน ถุกดูดพซึมได้ดีจากทางเดินอาหาร มีค่า bioavailability 93 % อาหาร การอดอาหาร ยา didanosine หรือ antacids ไม่เปลี่ยนแปลงการดุดซึมของยา มีค่าครึ่งชีวิต 25- 30 ชั่วโมง ยาผ่านเข้าสู่น้ำไขสันหลังได้ ระดับยาในน้ำไขสันหลังในพลาสมา = 0.45 ยาชักนำและถูกสันดาปโดยเอนไซม์ระบบ cytochrome P450 เป็น hydroxylated metabolites แล้วถูกกำจัดออกทางปัสสาวะ 90 % หลังจากใช้ยา 2 สัปดาห์ อาจต้องเพิ่มขนาดยา เนื่องจากยำถูกจำกัดเร็วขึ้นและค่าครึ่งชีวิตของยาสั้นลง และถ้าใช้ร่วมกับยาอื่นที่ชักนำหรือยับยั้งเอนไซม์ cytochrome P450 อาจทำให้ระดับยา nevirapine เปลี่ยนแปลง เด็กมีการกำจัดยา เร็วกว่ผู้ใหญ่ และเด็กอายุ <> 9 ปี

พิษสำคัญของยา
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุด คือ ออกผื่น 17 % ที่ลำตัว ใบหน้ แขนขา ปกติเป็นผื่นแดงคนหรือไม่คันก็ได้ หรือผื่น maculo[ular บางคนต้องหยุดยา 7 % เทียบกับ delavirdine 4.3 % efavirenz 1.7 % ที่ต้องหยุดยา บางคนผื่นอาจเป็นรุนแรงเช่น stevens - Johnson syndrome ซึ่งต้องหยุดยาและรับเข้ารักษาในโรงพยาบาล เพราะอาจะเป็นอันตรายถึงชีวิต ผลข้างเคียงอื่นๆ ได้แก่ ปวดศรีษะ คลื่นไส้ มีไข้ หน้าที่ตับผิดปกติ

ผลข้างเคียงที่พบน้อยลง ได้แก่ granulocytopenia เอนไซม์ตับสูงขึ้น ตับอักเสบ ซึ่งอาจรุนแรงจนตับเสียหาย และเสียชีวิตได้ ผลข้างเคียงอื่นๆได้แก่ ภาวะภูมิไวเกิน ออกผื่นรุนแรง ตุ่มพอง ปากเป็นแผล หน้าบวม เยื่อบุตาอักเสบ ปวดกล้ามเน้อ ปวดข้อ อ่อนเพลีย ตับผิดปกติ ผู้ป่วยที่ใช้ยาควรรีบรายงานแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 8 สัปดาห์ แรก และควรติดตามวัดระดับเอนไซม์ ALT , AST ใน 8 สัปดาห์ แรก ถ้า AST ALT สูงมากกว่า 2 เท่า ของค่าสูงสุดที่ปกติแต่ไม่มีอาการของภาวะภูมิไวเกินได้แก่ ไข้ออกผื่น ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย มีตุ่มพอง eosinophilia , เยื่อบุตาอักเสบ แผลที่ mucous membrane และ ที่ ไตวาย อาจไม่ต้องหยุดยาแต่ติดตามผู้ป่วยใกล้ชิด แต่ถ้ามีอาการของภาวะภูมิไวเกินดังกล่าวมาแล้วควรหยุดยาทันทีและห้ามใช้ยาอีก ถ้า AST , ALT สูงเกิน 5 เท่า ของค่าสูงสุดที่ปกติ และไม่มีอาการของภาวะภูมิไวเกิดควรหยุดยาเช่นเดียวกัน เมื่อค่า AST ALT สูงเกิน 5 เท่า ของค่าค่าสูงสุดที่ปกติ และไม่มีอาการของภาวะภูมิไวเกินควรหยุดยาเช่นเดียวกัน เมื่อ AST ALT และค่าหน้าที่การทำงานของตับอื่นๆมาลงปกติ อาจเริ่มให้ยาใหม่ขนาดวันละ 200 มก. เป็นเวลา 14 วัน ถ้าค่าหน้าที่ยังปกติอาจเพิ่มขนาดยาเป็นวันละ 400 มก.

ปฏิกิริยาต่อระหว่างยา
ยาชักนำเอนไซม์ cytochrome P450 3A ทำให้ metabolise ตัวเองมากขึ้น ซึ่งใน 2-4 สัปดาห์ มีการกำจัดยา เพิ่มขึ้น 1.5- 2 เท่า และอาจเกิดปฏิกิริยาต่อยาอื่นที่ใช้ร่วมกัน ดังนั้นก่อนเริ่มให้ยาต้องนำยาทั้งหลายมาพิจารณาถึงปฏิกิริยาต่อกันก่อน
ควรต้องติดตามวัดระดับยาย่างอย่างระมัดระวัง ถ้าใช้ร่วมกับยาที่มีปฏิกิริยาต่อกัน เช่น rifampin rifabutin , mizolam triazolam , phenytoin , diigoxin theophyllin ยาคุมกำเนิดรับประทาน ยาด้านการแข็งตัวของเลือดชนิดรับประทาย
ถ้า ใช้ร่วมกับ PI อานทำให้ระดับยา PI เพิ่มขึ้น เช่นระดับบา indinavir และ saquinavir ลดลง – 25- 30 % ดังนั้นในผู้ใหญ่ถ้าใช้ nevrapine ร่วมกับ indinavir อาจเพิ่มขนาด indinavir 20 % แต่ถ้าใช้ร่วมกับ ritonavir หรือ nelfinavir ใช้ในขนาดปกติ

ยา nevirapine ลดระดับ ketoconazole อย่างมีนัยสำคัญเช่นเดียวกันและไม่ควรใช้รวมกั นถ้าต้องใช่ร่วมกันควรใช้ยา fluconazole แทน ketoconazole
ยา rifampin ชักนำการสร้าเอ็นไซม์ CYP 3A4 เหมือน nevirapine และอจลดระดับยา nevirapine จึงไม่ควรใช้ร่วมกัน การชักนำเอนไซม์มีผลสูงสุดเมื่อใช้ยาไปได้ประมาณ 2-4 สัปดาห์
ยา nevirapine ลดระดับและการจับกับโปรตีนของ methadone และอาจทำให้ผู้ป่วยที่ใช้ methadone มีอาการถอนยา ซึ่งแก้ได้ด้วยการให้ขนาดยาmethadone เพิ่มขึ้นมากกว่าวันละ150 มก.
แม้ยังไม่ทราบว่ายาปฎิกิริยาอย่างไรกับยาต้านอาการชัก เช่น Phenobarbital , phenytoin carbamaxepine และยารักษาอาการทางจิต แต่ควรติดตามใกล้ชิดและวัดระดับยาด้วย
ยา mevirapine ลด AUC ยา ethynyl estradiol 50 % เมื่อใช้ยานี้ควรใช้วิธีการคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วย
ถึงแม้ยา nevirapine ทำให้ AUC ของ cla rithromycin ลดลง 30 % แต่ active 14 -OH methaboite ของ clarithromycin เพิ่มขึ้นทำให้ไม่ต้องเพิ่มขนดยา charithromycin


คำแนะนำพิเศษ

ยาสามารถรับประทานร่วมกับอาหาร และอาจใช้ร่วมกับยา didanosine
ควรเขย่ายาน้ำแขวนตะกอน nevirapine ให้สม่ำเสมอก่อนใช้ยาเสมอ และเก็บยาที่อุณหภูมิห้อง พิษต่อตับของยาอาจรุนแรงได้แก่ ตับอักเสบแบบ cholestatic หรือ fulminant hepatic necrosis ตับวาย และอาจเสียชีวิต ผู้ป่วยที่กำลังมีตับอักเสบห้ามใช้ยานี้ และห้ามลองยาอีกถ้าเคยมีตับอักเสบจากการใช้ nevirapine ผู้ป่วยที่มีประวัติโรคไวรัสตับอักเสบ B หรือ C หรือระดับเอนไซม์ transmaminase ซีรั่มสูงมีความเสี่ยงต่อการเพิษต่อตับเพิ่มขึ้น การใช้ยา nevirapie ควรติดตามใกล้ชิดและวัดระดับเอนไซม์ตับเอนไซม์ตับบ่อยๆ เป็นเวลาอย่างน้อย 12 สัปดาห์ หรือมากกว่า เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่แสดงอาการภายใน 12 สัปดาห์ และส่วนน้อยแสดงอาการหลัง 1 2 สัปดาห์

Breaking the vicious cycle of violen

Breaking the vicious cycle of violen

BARBARITY IN POLITICS
NIDH1 EOSEEWONG

The scenes on TV recently, showing members of a pro-government groupbeating the anti-government People’s Alliance for Democracy with flag poles and other weapons while stomping on those unconscious on the ground, take me back to Oct 6, 1976.
That barbarian act committed 32 years ago not only ruined democracy in Thailand but struck deep at the very fibre of Thai society’s morality.
If we allow this kind of barbarity, which has been broadcast around the world, to lapse without the perpetrators being called to justice, Thai society will have to repay the karma by being stuck in a vicious cycle of violence without end.
So far no one has been arrested in con nection with the Oct 6 crimes.
Since then we have been through a few other atrocious incidents — the May 1992 uprising the killing of more than 2,000 people during the anti-drugs campaign, the physical assau on striking workers, the use of thugs to bre’ up protests against big projects, either y the government itself or by the private s not to mention the infamous Krue Se siege and Tak Bai deaths.
Are we, and our children, forever destined to live in a society where violence always lurks in the background?
What is the use of discussing political regimes — fully-fledged democracy, half- baked democracy, dictatorship, old politics or new politics? All these forms of governance will be rendered meaningless if we are all deprived of freedom because we’d never knowwhatwewndo without violent reprisal
After the attack on members of the PADin Udon Thani, former interior minister Chalerm Yubamrung said in an interview:
“The PAD’s recent activities upcountry had upset government supporters as their beloved politicians, especially Thaksin Shina watra, were ‘unfairly’ criticised with de rogatory words.”



So what? Do “derogatory words” justify the right to resort to violence? Does their use automatically cancel out the tights ac cording to the constitution?
Samart Kaewmeechai, chief government whip, was more blunt. “They can preach anything on Ratchadamnoen — no one would do anything to oppose it. But if they spread around to outer areas, they should beware of a backlash.”
Does this mean Bangkok and other prov inces are governed by a different charter?
Notably, this kind of freedom and human rights violation has always led to brutality. It is the prelude to a vicious cycle of violencewhich has hurt Thai society through the past 32 years.
If the other side decides to counter-attack with force, that cycle will move even faster and lead to a major clash and a bloodbath before long. Thus, the fact that PAD leaders have asked their supporters not to hold any gatherings in the provinces during this period, can be considered helpful to Thai society. it is part of an effort to break away from the cycle of violence.
Of course, that is hardly enough. If pol iticians in the government camp still view the use of violence to crack down on their opponents as being justified, then they can’t be trusted to lead us away from this detri mental trap. In the end, if we are to rid ourselves of the use of brute force as a means to settle conflicts in our society, then each and every one of us will have to take the task into our hands and help out in every possible way. We can start by putting all kinds of pressure on the authorities to bring perpetrators of the violence in Udon Thani to account. This means every single one involved in the barbaric act, not just the leaders. There is ample video footage of the melee, which should be of help. If state authorities are found to be negligent, they must be dealt with strictly.
This is not Operation Revenge. This must be done so as to assure society that conflict resolution must be done within the limits of the law. Using violence to suppress other people’s liberty is not acceptable. It is a grave matter which the authorities must not be allowed to ignore.
Members of the Opposition can help either by questioning the government or investi gating the incident themselves and reportI back to the public. Academics should con denm the crime. Everyone should do any thing they can to send the message that acts of violence, whether committed by the government or by private citizens, is an abominable act that will not lead to any solution or anything good. We have to con demn the attack whether or not we agree with the PAD, because such violence tramples on the rights and freedoms of every single Thai citizen.
If the “Sanam Luang” group wishes to protest against coups and dictatorship, it should join a campaign against the use of violence as well—because the use of violence is, in essence, a form of coup d’etat, only it is not marshalled by the army. But the result, however, is the same in that people’s rights and liberties become suspended, if not by tanks then by wooden sticks and iron bars.
If Thai society can let the law prevail over this conifict, then we will begin to pave a way that can lead us all out of this vicious cycle of violence that has permeated our society for 32 years. Professor Nidhi Eoseewong is an historian who started the alternative educational forum, the Midnight University

Glass Fibres

Glass Fibres

In order to handle the fine filamentary fibres that are necessary for structural composites the fibres are usually in the form of bundles. The bundles are drawn continuously from platinum-rhodium bushings, each producing several hundred filaments. The fibres are pulled away at speeds approaching 1000 to 2000 rn/mm. as molten glass and coated with size which lubricates the surface to prevent abrasion before the filaments (100- 1200) are brought together into a tow and wound onto a mandrel.

The Glass fibres are available in several forms. The main varieties are:

1. Chopped Strands - Short lengths of fibre in bundles of ‘400flbres. Length 3 to 40 mm used in automated pressing and mouldingwith both thermosetting and thermoplastic matrices as well ascement.
2. Chopped Strand Mat - chopped strands in the size 30 to 40mmare distributed over the area of a conveyor belt in randomorientations an a small amount of an organic binder (usually polyvinyl acetate) added to form a loosely bound open mat which isreadily impregnated by resin. Binder must be compatible with theresin - normally used with polyester or epoxy resins.
3. Rovings - A number of strands are grouped together and woundwithout twisting onto a cylindrical package to give a longcontinuous rope or large tow that may be used for filament windingor for chopping and spraying.
4. Yarn - twisted strands used in weaving cloth.


Glass fibre drawing
Copper is no longer the first choice for modern information transmission. Glass fibre cables (optical fibres) have assumed this task over longer distances, as they are vastly superior to the previous metal solution. Only 125 tim thick, a single glass fibre cable is theoretically sufficient to transmit 100,000 million telephone conversations. In contrast to copper, no skin effects occur (forcing of the current with increasing frequency from the middle of the cable to the surface by eddy currents), so that considerably higher frequencies can also be utilised and high transmission rates achieved. They also do not require suppression measures against electromagnetic radiation and can thus be combined with high voltage cables to form inexpensive solutions. High-purity quartz glass forms the core of glass fibre cables, being coated with glass of lower refraction (doped quartz glass). Total reflection thus occurs in the area between the core and the jacket, so information to be transmitted is conveyed in the core in the form of (IR) light. The outer jacket forms a polymer coating that contributes to mechanical stability.
Glass fibre cables are manufactured in a drop tower at approx. 2000 °C through simultaneous drawing (and collapsing) of the core and jacket from the respective preform (tubes). Graphite and CFC resistance heating elements are suitable for heating these furnaces, as these can be produced in ultra-pure forms. However, even the smallest of impurities in glass fibres considerably increase the level of evaporation. They can even resist temperatures up to 2,800 °C, remaining absolutely free of distortion. NTC behaviour enables these materials to realise a high heating efficiency in a vacuum with minimum power.

Glass-reinforced plastic (GRP)
Glass-reinforced plastic (GRP)is a composite material or fiber- reinforced plastic made of a plastic reinforced by fine fibers made of glass. Like graphite-reinforced plastic, the composite material is commonly referred to by the name of its reinforcing fibers (fiberglass). The plastic is chemosetting, most often polyester or vinylester, but other plastics, like epoxy (GRE), are also used. The glass is mostly in the form of chopped strand mat (CSM), but woven fabrics are also used.An individual structural glass fiber is both stiff and strong in tension and compression -- that is, along its axis. (Although one might intuitively imagine the fiber to be weak in compression, it is actually only the long aspect ratio of the fiber which makes it seem so; i.e., because a typical fiber is long and narrow, it buckles easily.) Oh the other hand, the glass fiber is relatively unstiff and unstrong in shear -- that is, across its axis. In other words, the fiber is stiff and strong in a preferred direction, namely, along its length. Therefore if a collection of fibers can be arranged permanently in a preferred direction within a material, and if the fibers can be prevented from buckling in compression, then that material will become preferentially strong in that direction. Furthermore, by laying multiple layers of fiber on top of one another, with each layer oriented in various preferred directions, the stiffness and strength properties of the overall material can be controlled in an efficient manner. In the case of glass- reinforced plastic, it is the plastic matrix which permanently constrains the structural glass fibers to directions chosen by the designer. With chopped strand mat, this directionality is essentially an entire two dimensional plane; with woven fabrics or unidirectional layers, directionality of stiffness and strength can be more precisely controlled within the plane. A glass- reinforced plastic component is typically of a thin “shell” construction, sometimes filled on the inside with structural foam, as in the case of surfboards. The component may be of nearly arbitrary shape, limited only by the complexity and tolerances of the mold used for manufacturing the shell.

วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2551

Modern concepts design techniques of architecture

Modern concepts design techniques of architecture

Concepts design techniques of Siam Cement Group is Other Area , Folly was outside in for Giving Presentations way history story . burns the cement which of the history that still have the evidence is appearing , was the symbol remembers both of an officer and general people , builds the impression and the interest , in seeing museum . for insert take with way history story of cement ,The building atmosphere of water route . Since the time begins the route walks to a museum , straight can see pot chimney burns the cement , of Khlong Prem Prachakhon transportation important route of cement .1913s begin form “burns the cement” to person see the impression and the pride everybody officer through two sideways . when , depart various at build story development: atmosphere of Thai cement where s affect Thai way “the wall stucco lead decorates” media about events important social railing at affects with the development something of Thai cement . besides still, regared art that help to build the atmosphere attracts the audience share to follow through history route of Thai cement.
- link up transportation cement important in the past (of Khlong Prem Prachakhon ) and now (train route ).
- build the axle for emphasize the importance of outside building that leads a story of the history of Thai cement .
- communicate events important social story, that affect with the development of Thai cement , change the molded figure decorates the wall through pillar axle of the area .
- pillar axle of the area for decreases the battle stirs from outside environment gives the audience receives to know that must communicate with full speed ahead .

The Project adjusts stall area sidewalk area
Program: because of “the area originally is all channel sidewalk , but , have the woman monger comes to occupy , and stand the stall sells the cloth then until with full speed ahead the sidewalk , general poor , must go to walk at the road makes to obstruct the traffic , and born disgusting work scenery from the clutter of all shop “.
Design solutions : designing separates to take the part , the area sells goods down go to the basement , for , level area road area was used is the small park , and the recreational area of area villagers is similar to , there is wood shape tall construction , at the basement gives bush area leans out to come to at a garden for builds the shade and build the atmosphere and the condition underground area moreover , still get terraced and change the level of skin top area cause the opening and light channel shines down go to still a store below , be born linking up of both of activity below and the top , can see can , try may riginally of the area that is the small park with area all channel sidewalk and use designing heel stripes of the small park that refect to are from underground store , give born stripes new heel , and harmonious accompany the travel of a car and a person .
Thai nun institute
Design solutions : Users. want to give a building faces to go out to outside road and turn one side road go out to the road within make a building must turn the width to the east and the West . then design have the eaves delivers [ protuberant ] long go out at most in every a side ( about 2 the meter ) .
- very give see clear convenient area in area doer has bought in all character later follows the requirement of , Users .
- in the part of a roof , Desige , have the gentle follows architecture character and mass media arrive at the blown of the nun ( the female is ) ,
- color “earth tone color” apply to a building , give correspond clothes , clothing , of a priest ( the nun is ) , and mass media arrives at the happiness .

auditorium Shirintron
Program: Auditorium size 1,500 is seat. And “ convention hall” 4,000 square metre conference room sizes digest 100 the seat , director general of a government department office , and the faculty grinds ,

Design solutions : from master plan , a building behaves in axle pillar line of the university where still straight with axle line round of a building administrates .
- lay plan , in the line " foyer" of Auditorium and convention hall same with axle pillar line of the university view pagoda point is usable and open view wide point to the scenery throughout both of the university.
- building has improving from " Ground level" about 1.50 t for help the ventilation gives with park a car , B1.
- a building assured to separated far from pillar building for the privacy and open the view point to large-sized the area green of the project of the West .
Museum Pagoda Technical
Progrown : to build a building , the symbol of the project , by replace with for pagoda architecture.
Design solutions : divide ” floor”. “Plate” in the exhibition shows

Priciple The Buddhism
Class-1 Monk is the Buddhist saint in Thailand.

Class-2 Buddha's teaching , exhibit the Tripitaka and doctrines and a pillar inscribe in the Buddhism .
Class-3 Buddha , exhibit 4 image of both of part Buddhas in Thailand and the Buddha's relics by invoke from The Napan country
- lay a building follows axle pillar line of the university , and follow axle line supports to continue a church

- change " space" in the pagoda are appropriate the usability and the age by fine that area buy in the exhibition .
- adjust fot originally . of the pagoda , at 2 areas by " open space" through both of 1 and 2 was then , grow the tree through upward to give the shade , decrease the heat and build the atmosphere that are shady. besides , in the area " court outdoor" grade at 1 , can apply areas at , exhibit get outdoor which might continually out from a room shows temporary . by open the door " partition" go out both of and make up concerns with , four rooms have exhibited both of in four the corner extremely .

Child Foundation
Program : want to adjust originally building . which , be the institute gives a treat to the children tiny before the studying age.to three year , which face a problem a family . by level the ground at originally from 1 , be 2 , ( have taking weight reservation keep already ) , enhance " Program " in building multi-purpose middle pond part for activity arrangement of a child and instruction education ( of both of a child , the residence in the foundation and a child from from , school , adjacent curator is ) .
Design solutions : get the inspiration from the slitting sews clothes an awning with the clothe scraps of a housekeeper and source volunteer help the activity that the foundation by "pattem" of " facade " second class building are large-sized the channel opens related to with confiscate that surround with the tree , and build the interestedness " color" at express change a curtain of a building , be consistent accompany " facade pattem " of a building .
- use of " context" at surround with the tree comes to apply with " solar shading " and the stall steal .
- build up friendship with the office building with the area , both upstairs and downstairs , use the playground for the small children , and at build related between the small children and an officer and source volunteer , share ,with the area accompanies.
- build multi-purpose area in second class to the area see the star for a child at night . use something mass media arrives at the star and the orbit with picture circle chair and the heel run around the star that are colorful different bright go out . enhance the interestedness with for build related to with playing of a child .

วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2551

Ceramic

Ceramic
From Wikipedia, the free encyclopedia
Jump to: navigation, search
This article is about ceramic materials. For the fine art, see Ceramic art.


Fixed Partial Denture, or "Bridge"
The word ceramic is derived from the Greek word κεραμικός (keramikos). The term covers inorganic non-metallic materials which are formed by the action of heat. Up until the 1950s or so, the most important of these were the traditional clays, made into pottery, bricks, tiles and the like, along with cements and glass. Clay-based ceramics are described in the article on pottery. A composite material of ceramic and metal is known as cermet. The word ceramic can be an adjective, and can also be used as a noun to refer to a ceramic material, or a product of ceramic manufacture. Ceramics may also be used as a singular noun referring to the art of making things out of ceramic materials. The technology of manufacturing and usage of ceramic materials is part of the field of ceramic engineering.
Many ceramic materials are hard, porous, and brittle. The study and development of ceramics includes methods to mitigate problems associated with these characteristics, and to accentuate the strengths of the materials as well as to investigate novel applications.
The American Society for Testing and Materials (ASTM) defines a ceramic article as “an article having a glazed or unglazed body of crystalline or partly crystalline structure, or of glass, which body is produced from essentially inorganic, non-metallic substances and either is formed from a molten mass which solidifies on cooling, or is formed and simultaneously or subsequently matured by the action of the heat.”[1]
//
[edit] Types of ceramic materials
For convenience ceramic products are usually divided into four sectors, and these are shown below with some examples:
Structural, including bricks, pipes, floor and roof tiles
Refractories, such as kiln linings, gas fire radiants, steel and glass making crucibles
Whitewares, including tableware, wall tiles, decorative art objects and sanitary ware
Technical, is also known as Engineering, Advanced, Special, and in Japan, Fine Ceramics. Such items include tiles used in the Space Shuttle program, gas burner nozzles, ballistic protection, nuclear fuel uranium oxide pellets, bio-medical implants, jet engine turbine blades, and missile nose cones. Frequently the raw materials do not include clays.
[edit] Examples of whiteware ceramics
Bone china
Earthenware, which is often made from clay, quartz and feldspar.
Porcelain, which are often made from kaolin
Stoneware
[edit] Classification of technical ceramics
Technical ceramics can also be classified into three distinct material categories:
Oxides: Alumina, zirconia
Non-oxides: Carbides, borides, nitrides, silicides
Composites: Particulate reinforced, combinations of oxides and non-oxides.
Each one of these classes can develop unique material properties
[edit] Examples of technical ceramics
Barium titanate(often mixed with strontium titanate) displays ferroelectricity, meaning that its mechanical, electrical, and thermal responses are coupled to one another and also history-dependent. It is widely used in electromechanical transducers, ceramic capacitors, and data storage elements. Grain boundary conditions can create PTC effects in heating elements.
Bismuth strontium calcium copper oxide, a high-temperature superconductor
Boron nitride is structurally isoelectronic to carbon and takes on similar physical forms: a graphite-like one used as a lubricant, and a diamond-like one used as an abrasive.
Ferrite (Fe3O4), which is ferrimagnetic and is used in the magnetic cores of electrical transformers and magnetic core memory.
Lead zirconate titanate is another ferroelectric material.
Magnesium diboride (MgB2), which is an unconventional superconductor.
Sialons / Silicon Aluminium Oxynitrides, high strength, high thermal shock / chemical / wear resistance, low density ceramics used in non-ferrous molten metal handling, weld pins and the chemical industry.
Silicon carbide (SiC), which is used as a susceptor in microwave furnaces, a commonly used abrasive, and as a refractory material.
Silicon nitride (Si3N4), which is used as an abrasive powder.
Steatite (magnesium silicates) is used as an electrical insulator.
Titanium Carbide Used in space shuttle re-entry shields and scratchproof watches.
Uranium oxide (UO2), used as fuel in nuclear reactors.
Yttrium barium copper oxide (YBa2Cu3O7-x), another high temperature superconductor.
Zinc oxide (ZnO), which is a semiconductor, and used in the construction of varistors.
Zirconium dioxide (zirconia), which in pure form undergoes many phase changes between room temperature and practical sintering temperatures, can be chemically "stabilized" in several different forms. Its high oxygen ion conductivity recommends it for use in fuel cells. In another variant, metastable structures can impart transformation toughening for mechanical applications; most ceramic knife blades are made of this material.
[edit] Properties of ceramics
[edit] Mechanical properties
Ceramic materials are usually ionic or covalent bonded materials, and can be crystalline or amorphous. A material held together by either type of bond will tend to fracture before any plastic deformation takes place, which results in poor toughness in these materials. Additionally, because these materials tend to be porous, the pores and other microscopic imperfections act as stress concentrators, decreasing the toughness further, and reducing the tensile strength. These combine to give catastrophic failures, as opposed to the normally much more gentle failure modes of metals.
These materials do show plastic deformation. However, due to the rigid structure of the crystalline materials, there are very few available slip systems for dislocations to move, and so they deform very slowly. With the non-crystalline (glassy) materials, viscous flow is the dominant source of plastic deformation, and is also very slow. It is therefore neglected in many applications of ceramic materials.
[edit] Electrical properties
[edit] Semiconductors
There are a number of ceramics that are semiconductors. Most of these are transition metal oxides that are II-VI semiconductors, such as zinc oxide.
While there is talk of making blue LEDs from zinc oxide, ceramicists are most interested in the electrical properties that show grain boundary effects.
One of the most widely used of these is the varistor. These are devices that exhibit the property that resistance drops sharply at a certain threshold voltage. Once the voltage across the device reaches the threshold, there is a breakdown of the electrical structure in the vicinity of the grain boundaries, which results in its electrical resistance dropping from several megohms down to a few hundred ohms. The major advantage of these is that they can dissipate a lot of energy, and they self reset — after the voltage across the device drops below the threshold, its resistance returns to being high.
This makes them ideal for surge-protection applications. As there is control over the threshold voltage and energy tolerance, they find use in all sorts of applications. The best demonstration of their ability can be found in electrical substations, where they are employed to protect the infrastructure from lightning strikes. They have rapid response, are low maintenance, and do not appreciably degrade from use, making them virtually ideal devices for this application.
Semiconducting ceramics are also employed as gas sensors. When various gases are passed over a polycrystalline ceramic, its electrical resistance changes. With tuning to the possible gas mixtures, very inexpensive devices can be produced.
[edit] Superconductivity
Under some conditions, such as extremely low temperature, some ceramics exhibit high temperature superconductivity. The exact reason for this is not known, but there are two major families of superconducting ceramics .
[edit] Ferroelectricity and supersets
Piezoelectricity, a link between electrical and mechanical response, is exhibited by a large number of ceramic materials, including the quartz used to measure time in watches and other electronics. Such devices use both properties of piezoelectrics, using electricity to produce a mechanical motion (powering the device) and then using this mechanical motion to produce electricity (generating a signal). The unit of time measured is the natural interval required for electricity to be converted into mechanical energy and back again.
The piezoelectric effect is generally stronger in materials that also exhibit pyroelectricity, and all pyroelectric materials are also piezoelectric. These materials can be used to inter convert between thermal, mechanical, and/or electrical energy; for instance, after synthesis in a furnace, a pyroelectric crystal allowed to cool under no applied stress generally builds up a static charge of thousands of volts. Such materials are used in motion sensors, where the tiny rise in temperature from a warm body entering the room is enough to produce a measurable voltage in the crystal.
In turn, pyroelectricity is seen most strongly in materials which also display the ferroelectric effect, in which a stable electric dipole can be oriented or reversed by applying an electrostatic field. Pyroelectricity is also a necessary consequence of ferroelectricity. This can be used to store information in ferroelectric capacitors, elements of ferroelectric RAM.
The most common such materials are lead zirconate titanate and barium titanate. Aside from the uses mentioned above, their strong piezoelectric response is exploited in the design of high-frequency loudspeakers, transducers for sonar, and actuators for atomic force and scanning tunneling microscopes.
[edit] Positive thermal coefficient
Increases in temperature can cause grain boundaries to suddenly become insulating in some semiconducting ceramic materials, mostly mixtures of heavy metal titanates. The critical transition temperature can be adjusted over a wide range by variations in chemistry. In such materials, current will pass through the material until joule heating brings it to the transition temperature, at which point the circuit will be broken and current flow will cease. Such ceramics are used as self-controlled heating elements in, for example, the rear-window defrost circuits of automobiles.
At the transition temperature, the material's dielectric response becomes theoretically infinite. While a lack of temperature control would rule out any practical use of the material near its critical temperature, the dielectric effect remains exceptionally strong even at much higher temperatures. Titanates with critical temperatures far below room temperature have become synonymous with "ceramic" in the context of ceramic capacitors for just this reason.
[edit] Classification of ceramics
Non-crystalline ceramics: Non-crystalline ceramics, being glasses, tend to be formed from melts. The glass is shaped when either fully molten, by casting, or when in a state of toffee-like viscosity, by methods such as blowing to a mold. If later heat-treatments cause this class to become partly crystalline, the resulting material is known as a glass-ceramic.
Crystalline ceramics: Crystalline ceramic materials are not amenable to a great range of processing. Methods for dealing with them tend to fall into one of two categories - either make the ceramic in the desired shape, by reaction in situ, or by "forming" powders into the desired shape, and then sintering to form a solid body. Ceramic forming techniques include shaping by hand (sometimes including a rotation process called "throwing"), slip casting, tape casting (used for making very thin ceramic capacitors, etc.), injection molding, dry pressing, and other variations. (See also Ceramic forming techniques. Details of these processes are described in the two books listed below.) A few methods use a hybrid between the two approaches.
[edit] In situ manufacturing
The most common use of this method is in the production of cement and concrete. Here, the dehydrated powders are mixed with water. This starts hydration reactions, which result in long, interlocking crystals forming around the aggregates. Over time, these result in a solid ceramic.
The biggest problem with this method is that most reactions are so fast that good mixing is not possible, which tends to prevent large-scale construction. However, small-scale systems can be made by deposition techniques, where the various materials are introduced above a substrate, and react and form the ceramic on the substrate. This borrows techniques from the semiconductor industry, such as chemical vapour deposition, and is very useful for coatings.
These tend to produce very dense ceramics, but do so slowly.
[edit] Sintering-based methods
The principles of sintering-based methods is simple. Once a roughly held together object (called a "green body") is made, it is baked in a kiln, where diffusion processes cause the green body to shrink. The pores in the object close up, resulting in a denser, stronger product. The firing is done at a temperature below the melting point of the ceramic. There is virtually always some porosity left, but the real advantage of this method is that the green body can be produced in any way imaginable, and still be sintered. This makes it a very versatile route.
There are thousands of possible refinements of this process. Some of the most common involve pressing the green body to give the densification a head start and reduce the sintering time needed. Sometimes organic binders such as polyvinyl alcohol are added to hold the green body together; these burn out during the firing (at 200–350°C). Sometimes organic lubricants are added during pressing to increase densification. It is not uncommon to combine these, and add binders and lubricants to a powder, then press. (The formulation of these organic chemical additives is an art in itself. This is particularly important in the manufacture of high performance ceramics such as those used by the billions for electronics, in capacitors, inductors, sensors, etc. The specialized formulations most commonly used in electronics are detailed in the book "Tape Casting," by R.E. Mistler, et al., Amer. Ceramic Soc. [Westerville, Ohio], 2000.) A comprehensive book on the subject, for mechanical as well as electronics applications, is "Organic Additives and Ceramic Processing," by D. J. Shanefield, Kluwer Publishers [Boston], 1996.
A slurry can be used in place of a powder, and then cast into a desired shape, dried and then sintered. Indeed, traditional pottery is done with this type of method, using a plastic mixture worked with the hands.
If a mixture of different materials is used together in a ceramic, the sintering temperature is sometimes above the melting point of one minor component - a liquid phase sintering. This results in shorter sintering times compared to solid state sintering.
[edit] Other applications of ceramics
Ceramics are used in the manufacture of knives. The blade of the ceramic knife will stay sharp for much longer than that of a steel knife, although it is more brittle and can be snapped by dropping it on a hard surface.
Ceramics such as alumina and boron carbide have been used in ballistic armored vests to repel large-caliber rifle fire. Such plates are known commonly as small-arms protective inserts (SAPI). Similar material is used to protect cockpits of some military airplanes, because of the low weight of the material.
Ceramic balls can be used to replace steel in ball bearings. Their higher hardness means that they are much less susceptible to wear and can often more than triple lifetimes. They also deform less under load meaning they have less contact with the bearing retainer walls and can roll faster. In very high speed applications, heat from friction during rolling can cause problems for metal bearings; problems which are reduced by the use of ceramics. Ceramics are also more chemically resistant and can be used in wet environments where steel bearings would rust. The major drawback to using ceramics is a significantly higher cost. In many cases their electrically insulating properties may also be valuable in bearings.
In the early 1980s, Toyota researched production of an adiabatic ceramic engine which can run at a temperature of over 6000 °F (3300 °C). Ceramic engines do not require a cooling system and hence allow a major weight reduction and therefore greater fuel efficiency. Fuel efficiency of the engine is also higher at high temperature, as shown by Carnot's theorem. In a conventional metallic engine, much of the energy released from the fuel must be dissipated as waste heat in order to prevent a meltdown of the metallic parts. Despite all of these desirable properties, such engines are not in production because the manufacturing of ceramic parts in the requisite precision and durability is difficult. Imperfection in the ceramic leads to cracks, which can lead to potentially dangerous equipment failure. Such engines are possible in laboratory settings, but mass-production is not feasible with current technology.
Work is being done in developing ceramic parts for gas turbine engines. Currently, even blades made of advanced metal alloys used in the engines' hot section require cooling and careful limiting of operating temperatures. Turbine engines made with ceramics could operate more efficiently, giving aircraft greater range and payload for a set amount of fuel.
Recently, there have been advances in ceramics which include bio-ceramics, such as dental implants and synthetic bones. Hydroxyapatite, the natural mineral component of bone, has been made synthetically from a number of biological and chemical sources and can be formed into ceramic materials. Orthopedic implants made from these materials bond readily to bone and other tissues in the body without rejection or inflammatory reactions. Because of this, they are of great interest for gene delivery and tissue engineering scaffolds. Most hydroxy apatite ceramics are very porous and lack mechanical strength and are used to coat metal orthopedic devices to aid in forming a bond to bone or as bone fillers. They are also used as fillers for orthopedic plastic screws to aid in reducing the inflammation and increase absorption of these plastic materials. Work is being done to make strong, fully dense nano crystalline hydroxapatite ceramic materials for orthopedic weight bearing devices, replacing foreign metal and plastic orthopedic materials with a synthetic, but naturally occurring, bone mineral. Ultimately these ceramic materials may be used as bone replacements or with the incorporation of protein collagens, synthetic bones.
High-tech ceramic is used in watchmaking for producing watch cases. The material is valued by watchmakers for its light weight, scratch-resistance, durability and smooth touch. IWC is one of the brands that initiated the use of ceramic in watchmaking. The case of the IWC 2007 Top Gun edition of the Pilot's Watch Double chronograph is crafted in high-tech black ceramic.[2]
[edit] See also

Look up Ceramic inWiktionary, the free dictionary.
Ceramics (art)
Ceramic forming techniques
Glass-ceramic-to-metal seals
Porcelain
Pottery
Three point flexural test
Phase Equilibria Diagrams database
[edit] References
^ Ceramic Tile and Stone Standards
^ Ceramic in Watchmaking
[edit] External links
Advanced Ceramics – The Evolution, Classification, Properties, Production, Firing, Finishing and Design of Advanced Ceramics
How pottery is made
How sanitaryware is made
World renowned ceramics collections at Stoke-on-Trent Museum Click on Quick Links in the right-hand column to view examples.
The Gardiner Museum - The only museum in Canada entirely devoted to ceramics.
Introduction, Scientific Principles, Properties and Processing of Ceramics
The American Ceramic Society The American Ceramic Society
Retrieved from "http://en.wikipedia.org/wiki/Ceramic"